Avsnitt
-
20 พ.ค. 68 - รู้ใจก็ไกลทุกข์ : ความหลง ความคิดฟุ้งซ่าน อารมณ์หงุดหงิด ความรู้สึกลบ มันเกิดขึ้นได้เพราะมันมีความหลงเป็นเชื้อเป็นอาหาร แต่พอเรามีสติรู้ทัน เรียกว่ารู้ใจ ความคิดลบที่เคยทำให้เราหงุดหงิดหัวเสีย ทำให้เราเครียด ทำให้เรากังวล มันก็หายไป
พูดง่ายๆ คือว่า รู้กายทำให้รู้ใจ แล้วรู้ใจก็ทำให้ไกลทุกข์มากขึ้น ความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากความคิด ที่ชอบคิดลบ ชอบระแวง หรือความทุกข์ที่เกิดเพราะความเครียด ความกังวลที่เคยก่อกวนจิตใจ มันจะเล่นงานจิตใจเราไม่เหมือนก่อนแล้ว เพราะว่าเรามีสติรู้ทัน การรู้ใจมันก็ทำให้ใจเรามันไกลทุกข์ ทุกข์ที่เกิดจากความคิดลบ อารมณ์ที่เป็นอกุศล แม้มันยังเกิดขึ้นอยู่ แต่มันก็จะอยู่ไม่นาน ไม่สามารถรบกวนจิตใจเราได้ ยิ่งรู้ใจเท่าไหร่ มันก็ยิ่งไกลทุกข์เร็วเท่านั้น แล้วพอไกลทุกข์ ใจก็จะสงบได้ เป็นความสงบเพราะรู้ ไม่ใช่สงบเพราะไม่รู้ ไม่ใช่เพราะไม่ได้ยิน แต่สงบเพราะรู้ใจ เราฝึกให้หมั่นรู้ใจบ่อยๆ แต่ว่าก่อนจะถึงตรงนั้นก็ต้องรู้กายก่อน รู้กายเร็วเท่าไหร่ ต่อเนื่องเท่าไหร่ ก็จะรู้ใจได้ไว รู้ใจได้ไว ก็จะพาใจออกห่างจากความทุกข์ได้มากแค่นั้น -
19 พ.ค. 68 - อะไรเกิดขึ้นกับเราดีทั้งนั้น : และถ้าเรายอมรับสิ่งต่าง ๆ ได้ รวมทั้งสิ่งที่ไม่ถูกใจ ออกไปข้างนอกเจอความไม่ถูกใจ มันก็ไม่ทุกข์ และนั่นแหละคือความสงบที่เราอาจจะคาดไม่ถึงเลย ไม่ใช่สงบเพราะไม่มีเสียงดัง แต่สงบเพราะใจมันไม่โวยวาย ใจมันยอมรับ มันก็สงบได้
ไม่ใช่ว่าปฏิบัติแล้วจะไม่หายปวด การปฏิบัติแล้วจะหายปวด ปฏิบัติแล้วจะไม่ฟุ้ง ยังฟุ้งอยู่แต่ใจไม่ทุกข์แล้ว เพราะว่าไม่คาดหวังความไม่ฟุ้ง จริง ๆ ความฟุ้งไม่ได้ลงโทษเรา ไม่ได้รบกวนเรา แต่ที่ทุกข์เพราะไม่ชอบความฟุ้ง ไม่อยากให้มันฟุ้ง คาดหวังความไม่ฟุ้ง แต่พอเราปรับใจยอมรับมันได้ วางความคาดหวังทุกอย่าง ฟุ้งก็ได้ ไม่ฟุ้งก็ได้ พอถึงเวลาที่ความฟุ้งเกิดขึ้น เราไม่ทุกข์แล้ว เพราะอย่างที่ว่าถ้าวางใจเป็น แม้กระทั่งมะเร็งมันก็กลายเป็นของขวัญได้ นับประสาอะไรกับความฟุ้ง ถ้าเรารับมือกับมันไม่ได้ ยังทุกข์เพราะมัน นี่แสดงว่าเรายังต้องฝึกอีกมาก แสดงว่าเราจะต้องเรียนรู้ที่จะต้องผ่านการฝึกฝนจากความฟุ้ง ให้มันฟุ้งเยอะ ๆ จนกระทั่งทำใจยอมรับได้ -
Saknas det avsnitt?
-
18 พ.ค. 68 - ที่นี่เดี๋ยวนี้ ไม่มีเหตุให้ทุกข์ : บางทีเราก็เครียด เราก็กังวล เพราะใจไปนึกถึงงานที่รออยู่ข้างหน้า ยังไม่ได้ไปสอบแต่ใจก็เครียดแล้ว ยังไม่ได้ไปพรีเซนต์งานในที่ประชุมเลยแต่ก็เครียดแล้ว กังวลซะแล้ว เราเครียดเรากังวลกับเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น แล้วบางอย่างก็อาจจะไม่เกิดขึ้นเลยด้วยซ้ำ แต่ว่าก็เครียดไปแล้ว ทุกข์ไปแล้ว นี่เรียกว่าหลงไปอดีต ลอยไปในอนาคต สรุปแล้วก็เลยจมอยู่ในความทุกข์
แต่ถ้าเรากลับมาอยู่กับปัจจุบัน ไม่มีเหตุผลที่เราจะทุกข์เลยนะ ถ้าใจเราอยู่ตรงนี้ที่หอไตร มันไม่มีอะไรต้องทุกข์เลย ถึงแม้จะมีแมลงอยู่บ้าง ถึงแม้ว่าพื้นจะแข็งบ้างแต่ก็ไม่เท่าไหร่ แต่พอใจเราไปนึกถึงวันพรุ่งนี้เลย โอ๋ จะต้องปฏิบัติทั้งวันจะไหวหรือนี่ จะต้องปฏิบัติอีกตั้ง 6 วัน จะไหวหรือนี่ คิดถึงงานที่ยังไม่ได้ทำ คิดถึงหนี้ที่ยังไม่ได้ผ่อน เครียดเลย แต่ทำไมถึงคิดนะ เพราะไม่รู้ตัว แล้วเรื่องที่คิดก็เป็นเรื่องอนาคต ถ้าใจเราอยู่กับปัจจุบัน ที่นี่ เดี๋ยวนี้ มันไม่มีเหตุผลจะต้องเครียด ไม่มีเหตุผลจะต้องทุกข์ ไม่มีเหตุผลจะต้องเศร้าเลยนะ แต่ที่เราเศร้า ที่เราโกรธ ที่เราแค้น ที่เราอาลัยอาวรณ์ ที่เรากังวล เครียด เพราะใจไม่อยู่กับปัจจุบันทั้งนั้นเลย ถ้าใจกลับมาอยู่กับปัจจุบันก็ไม่มีอะไรที่ต้องทำให้ทุกข์ สำคัญก็คือว่าใจเราไม่ยอมอยู่กับปัจจุบัน เพราะใจเราชอบหลง แต่ถ้ามีสติที่ฝึกไว้ดีแล้ว มันก็จะทำให้ใจอยู่กับปัจจุบันได้ง่าย การปฏิบัติที่เคยเป็นเรื่องยากก็กลายเป็นเรื่องง่ายขึ้นมา แล้วก็จะรู้ว่าที่มันยากเพราะเราทำให้มันยากไปเอง ไม่ใช่เพราะว่าการปฏิบัติมันยากในตัว อันนั้นไม่ใช่ -
17 พ.ค. 68 - เติมสุขด้วยธรรม
-
15 พ.ค. 68 - สอนเด็กให้รู้จักมรณานุสติ : คนเราแม้เราจะรักกันอย่างไร แต่ถ้าเกิดว่าเราทำไม่ดีต่อกัน โดยเฉพาะในช่วงโมเมนต์สุดท้าย มันก็บาดลึกกินใจ แต่ในทางตรงข้าม ถ้าเกิดเราทำดีกับเขา ไม่ใช่แค่ช่วงเวลาสุดท้าย แต่ทำมาดีโดยตลอด เวลาเขาจากไป ก็จะไม่เศร้าเสียใจมาก เพราะว่าตอนที่เขาอยู่กับเรา เราก็ทำดีกับเขาเต็มที่แล้ว
คนเราถ้าหากระลึกว่าคนที่ผูกพันกับเรา เขาจะจากเราไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แล้วเราก็พยายามทำดีกับเขา ไม่เอาความรู้สึกของตัวเองเป็นใหญ่ แล้วไม่ใช่เขาเท่านั้นที่อาจจะจากเราไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ อาจจะเป็นเราก็ได้ด้วยซ้ำที่จากเขาไป จากพ่อจากแม่ไป จากลูก จากคนรัก ถ้าเกิดว่าเราได้ทำดีกับเขามาโดยตลอด ถึงเวลาที่เราจะจากไป เราก็ไม่มีความอาลัย ไม่มีความเสียใจ พร้อมจะไป -
14 พ.ค. 68 - กิเลสเนียนแค่ไหน ใจก็รู้ทัน : คนเราเวลาไม่ได้รับความสนใจ มันก็ย่อมไม่พอใจ แต่ก็ต้องสังเกตว่าเป็นเพราะอะไร เพราะกิเลสหรือเปล่า อัตตาหรือเปล่า เป็นเพราะมานะไหม ถ้ารู้ทันก็อย่าให้มันครองใจ มันโกรธก็โกรธไป แต่ให้มันเป็นกิเลสที่โกรธ ไม่ใช่เราโกรธ แต่ถ้าไม่เท่าทันมัน ก็จะโกรธจนกระทั่งไม่มีความสุขเลย แล้วเป็นอย่างนี้กันเยอะ เพียงแค่ไม่ถูกทักโดยใครบางคน โกรธเขาจนตายก็มี แต่ถ้าเรารู้ทัน เราก็รู้ว่านี่มันเป็นเพราะกิเลส ก็ไม่ปล่อยให้ความโกรธนั้นครองใจ
หรือบางทีอยากจะอวด แต่มันไม่มีช่องทางจะอวด เกิดความอัดอั้นตันใจขึ้นมา ก็ให้รู้ว่าที่อัดอั้นมันเป็นตัวมานะที่อยากจะโชว์ อยากจะประกาศให้โลกรู้ และเราก็ควรที่จะไม่ทำตามอำนาจของมันบ้าง เพราะถ้าทำตามอำนาจของมัน มันก็จะครองจิตครองใจเราอยู่ตลอดเวลา เราก็ต้องรู้จัก ไม่ปล่อยให้มันครองใจ แม้เราจะห่างไกลจากกิเลสที่หยาบ แต่กิเลสที่มันละเอียด กิเลสที่มันเนียนก็ยังสามารถจะเข้ามาเล่นงานจิตใจเราได้ เราต้องรู้ทัน โดยเฉพาะกิเลสที่ชื่อมานะ อยากประกาศตัวตน อยากจะให้ใครเขารู้จัก อยากจะอวดความเก่งความดี ความสามารถของเรา หรือแม้กระทั่งอยากจะเป็นคนดี อยากให้ใครชมว่าเราเป็นคนดี ตรงนี้ต้องระวัง เพราะถ้าเราปล่อยให้มันครองใจเมื่อไหร่ เราก็จะทุกข์ได้ง่าย แม้เราจะยังเอามันออกไปจากใจได้ไม่หมด แต่อย่างน้อยก็ให้รู้ทัน แล้วไม่สนองความต้องการของมัน -
12 พ.ค. 68 - เสริมสร้างภูมิคุ้มใจ : ภูมิคุ้มกันจิตใจก็เหมือนกัน เราก็ต้องช่วยให้เขาทำงานได้ดี ที่จริงการเจริญสติมันก็เป็นวิธีการที่ชัดตรง หรือว่าลัดตรงอยู่แล้ว ยิ่งเราเจริญสติเท่าไหร่ สติเราก็มีกำลังแข็งแรง ถ้าหากว่าทำถูกวิธี แต่ถ้าทำไม่ถูกวิธี ทำด้วยความอยาก สติก็ไม่ได้โตหรือโตช้า วิธีการช่วยให้สติแข็งแรงก็ทำได้หลายอย่าง ส่วนหนึ่งก็พยายามห่างไกลจากสิ่งเร้าเย้ายวนไม่ว่าทางมือถือ การพูดคุยกับผู้คน การสังสรรค์เฮฮา อันนี้นอกจากทำให้ตัวหลงมีกำลัง ยังทำให้สติเราอ่อนแอด้วย
ที่พระพุทธเจ้าตรัส การนอนการนั่งในที่อันสงัด ความหมายหนึ่งหรือวัตถุประสงค์อันหนึ่งก็คือ เพื่อให้สติเรามีกำลัง เป็นตัวช่วยให้สติมีกำลัง เพราะว่าถ้าหากว่าอยู่ในที่ที่วุ่นวาย มันก็จะมีสิ่งรบกวน มีสิ่งยั่วยุ สิ่งเย้ายวน สติก็เติบโตช้า การรู้จักเสพ การเสพพอประมาณ รู้จักประมาณในการบริโภค โดยเฉพาะการบริโภคข่าวสาร การบริโภคโซเชียลมีเดีย สมัยนี้ถ้าเราบริโภคแต่น้อย มันก็ช่วยเติมเสริมสติให้มีกำลังได้ -
10 พ.ค. 68 - ฝีกจิตเสริมประสบการณ์ชีวิต : ประสบการณ์ชีวิตก็สอนเรามากมาย แต่บางคนก็รู้ว่า อย่าไปสนใจกับความโกรธ อย่าไปสนใจกับเสียงดัง จากเพื่อนบ้าน แต่มันห้ามใจไม่ได้ รู้ว่าไม่ดี แต่ก็ไปสนใจกับมัน แล้วก็เลยหงุดหงิดหัวเสีย อย่างที่เขาพูดว่า ดีชั่วรู้หมด แต่อดใจไม่ได้ รู้ว่าเงินทองเป็นของนอกกาย แต่พอหาย หรือพอซื้อของเกิน จ่ายเงินเกิน แพงไป เสียใจ รู้ทั้งรู้ว่าเงินทองเป็นของนอกกาย แต่มันอดเสียดายเสียใจไม่ได้ แต่พอมีสติปุ๊บ นี่ โอ้ มันวางได้เลย มันจะมีความอาลัย ความเสียดายเกิดขึ้นในใจอย่างไร ก็ทำอะไรใจเราไม่ได้ มันจะมีเสียงต่อว่าแม่ค้าที่โกงเรา หรือเสียงด่าว่าตัวเองว่าทำไมโง่ให้เขาหลอก มันก็ไม่สน ไม่นานเสียงนี้ก็เงียบไป
เพราะฉะนั้น เจออะไรก็ตาม ใจก็ไม่ทุกข์ ถ้าหากว่าเราฝึกจิตเราให้ดี และการฝึกจิตอย่างนี้คือการฝึกสติ และนี่คือเหตุผลที่เรามาฝึกกัน มาเสริมกับสิ่งที่เราได้เรียนรู้ จากประสบการณ์อันยาวนานของเรา จากประสบการณ์ที่ได้ผ่านโลกมา เรามาเสริมตรงนี้ เพื่อทำให้ชีวิตของเรามีความสงบเย็น รวมทั้งสามารถก้าวข้ามผ่านทุกข์ไปได้ง่ายขึ้น -
9 พ.ค. 68 - ทำบุญแล้ว ปฎิบัติธรรมด้วย : เราทุกข์เพราะความคิด การที่เรามาเห็น มารู้ทันความคิด และไม่ปล่อยให้จิตมันไหลไปอดีต ลอยไปอนาคตเป็นสิ่งสำคัญ ที่เรามันเจริญสติกันเพื่อที่เราจะได้รู้จักวิธีในการดับทุกข์ ดับที่ใจ ไม่ต้องไปดับที่อื่น เพราะบางอย่างก็ดับไม่ได้ ไปแก้ไม่ได้ บางทีเสียงริงโทนจากโทรศัพท์มือถือของคนอื่น มันดังเข้ามาเราจะไปทำอย่างไร แต่ถ้าเราปล่อยวาง ไม่ไปจดจ่อที่เสียงนั้น ไม่รู้สึกลบกับเสียงนั้น ปล่อยให้มันเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาไป ใจเราก็ไม่ทุกข์
ที่เรามาเจริญสติเพื่อมาฝึกให้ใจเรามีธรรมะ ก็คือสติรักษาใจ ฉะนั้นถ้าเรามีสติเป็นเครื่องรักษาใจ ใจมันก็จะไม่เพ่นพ่าน ไม่ไปหาทุกข์ หรือไม่ไปซ้ำเติมเพิ่มทุกข์ให้ใจ เราถนัดกับการจัดการกับสิ่งภายนอกเพื่อให้ใจสงบ อันนี้เราคุ้นเราเก่งเราถนัด แต่ที่เรายังไม่ค่อยถนัดคือการปรับแก้ที่ใจเรา ปรับแก้ที่ความคิดที่มันชอบคิดลบคิดร้าย ที่มันชอบไปจมอยู่กับอดีต ไปพะวงกับอนาคต หรือว่าไปยึดติดกับความคาดหวังโดยไม่รู้ตัว ฉะนั้นถ้าเรามาฝึก มาปฏิบัติธรรม ได้ตรงนี้ไปมันจะช่วยทำให้เรารับมือกับความทุกข์ได้ อยู่กับ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสที่ไม่เป็นไปดั่งใจ ที่ไม่ถูกใจได้ด้วยใจที่ไม่ทุกข์ นั่นแหละคือธรรมะที่เราควรจะมี นอกเหนือจากการที่เราหมั่นทำบุญอยู่เสมอ -
1 พ.ค. 68 - สนใจธรรมทำไมถึงโกรธง่าย : เราใช้เวลา 1 ชั่วโมงกับโทรศัพท์มือถือ กับโซเชียลมีเดีย จิตใจก็เครียดแล้ว อันนี้เพราะไม่รู้จักเปิดใจรับรู้สิ่งดี ๆ บ้าง หรืออย่างน้อยก็รู้จักพักจิตพักใจมั่ง เติมช่องว่างให้กับใจบ้าง แทนที่จะไปรับรู้สิ่งแย่ ๆ ก็กลับมารับรู้สิ่งที่มันเป็นกลาง ๆ เช่น ลมหายใจ กลับมาอยู่กับลมหายใจที่มันเป็นกลาง ๆ
หรือมิเช่นนั้นก็ต้องยอมรับว่า ชีวิตประจำวันของเราไม่ใช่ว่าจะมีแต่สิ่งที่ถูกใจเราอย่างเดียว มันก็มีสิ่งที่ไม่ถูกใจด้วย ถ้าเราเผื่อใจเอาไว้ว่ามันจะมีสิ่งที่ไม่ถูกใจเรา เวลาเจอสิ่งที่ไม่ถูกใจ มันก็ทำใจได้ เพราะรู้ว่ามันเป็นธรรมดา หรือเพราะไม่คาดหวังว่าจะต้องมีแต่สิ่งที่ถูกใจอย่างเดียว ยอมรับความจริงของโลกได้ มันก็ทำให้ความหงุดหงิดที่สะสมหมักหมมในแต่ละวันน้อยลง ถ้าสิ่งที่สะสมหมักหมมน้อยลง เวลาถูกอะไรกระทบ มันก็ไม่ปรี๊ดแตกมาก แต่เดี๋ยวนี้คนเราปรี๊ดแตกง่ายเพราะสะสมหมักหมมความเครียดเอาไว้เยอะ จากการไปรับรู้แต่สิ่งแย่ ๆ หรือมิเช่นนั้นก็ไปคาดหวังว่ามันจะมีแต่สิ่งที่ดี ๆ ไม่ยอมรับความจริงว่ามันมีทั้งบวกและลบ มีทั้งที่ถูกใจและไม่ถูกใจ อันนี้เป็นเรื่องที่ต้องรู้จักฝึกใจไว้ด้วย จะไปหวังให้โลกนี้มันถูกใจเราทุกเรื่องมันยาก จะไปเปลี่ยนโลกนั้นไม่ได้ แต่เราเปลี่ยนที่ใจของเราได้ -
30 เม.ย. 68 - เยียวยาใจด้วยการให้อภัย : ใจที่มีบาดแผลเพราะความโกรธเกลียดนี้ มันทุกข์มาก เวลาเรามีความโกรธเกลียด มีความเคียดแค้นพยาบาท ความทุกข์ทรมานนี่มันรุนแรงมาก จิตใจมันรุ่มมร้อน บางทีสิ่งที่ถูกกระทำกับกับร่างกาย ยังไม่ร้ายแรงเท่ากับความโกรธเกลียดที่มีอยู่ในใจ หลายๆ คนก็เลือกที่จะจัดการกับความโกรธเกลียดนั้น ด้วยการให้อภัย เพราะการให้อภัยมันเหมือนกับเป็นการเยียวยาจิตใจ
-
29 เม.ย. 68 - รู้สึกตัวจนหายกลัว : ความกลัวก็เหมือนกัน กลัวอะไรใน ใจก็จะไปจดจ่ออยู่ตรงนั้น ต้องเรียกว่ามันมีอำนาจในการดึงดูดความสนใจของเรา แต่ถ้าเราแค่รู้ทันมันเฉย ๆ เห็นมัน ไม่ยุ่งกับมัน มันก็จะค่อย ๆ เบาลง ๆ ฉะนั้นการฝึกสตินี่สำคัญมากที่จะช่วยทำให้เรารับมือกับความกลัวได้ แต่การที่จะไปเห็นอารมณ์ รู้ทันอารมณ์ แล้วไม่ไปข้องแวะกับมัน ถ้าไม่ได้ฝึกมาก็ยาก และถ้าจะฝึกก็ต้องเริ่มจากสิ่งที่มันง่ายก่อน เช่น มารับรู้ดูกาย เวลาความกลัวเกิดขึ้นกายเป็นอย่างไร หน้านิ่วคิ้วขมวดหรือเปล่า ลมหายใจมันตื้น มันถี่ มันสั้นหรือเปล่า หัวใจเต้นแรงไหม มือไม้กำแน่นหรือเปล่า
เพียงแค่เอาใจมาดูกาย มาสแกนเลยก็ได้ มาสแกนดูว่าอวัยวะแต่ละส่วน ๆ ตั้งแต่ใบหน้าลงมาจนถึงแข้งขาเป็นอย่างไร มันช่วยได้เยอะ เพราะในช่วงขณะนั้นแหละที่ทำให้ใจมันหลุดออกจากความกลัว หรือใจหลุดออกจากเรื่องที่กลัว เรียกว่าวางเรื่องที่กลัวหรือสิ่งที่กลัว ไม่ว่าปรากฏอยู่ในใจหรือว่าได้ยินหรือเห็นก็ตาม การมารับรู้กายนี้ช่วยได้เยอะ แล้วพอรับรู้กายแล้ว มันก็จะพบว่ากายนี่เริ่มจะผ่อนคลายลง การหายใจที่เคยสั้นและถี่ จะค่อยเป็นปกติมากขึ้น มันช่วยลดความกลัวได้ -
28 เม.ย. 68 - ถนอมความสนใจให้กับสิ่งสำคัญ : ถ้าเรารู้จักเลือก ให้ความสนใจมาที่กาย ไม่ว่ารู้กายเคลื่อนไหว หรือบางทีมีความโกรธก็เอาความสนใจมาอยู่ที่ลมหายใจ หายใจเข้าหายใจออกลึก ๆ ให้ความสนใจกับกายแบบนี้มันดีกว่า ต่อไปก็เวลาใจมันคิดนึกอะไรก็รู้ รู้แบบรู้เฉย ๆ รู้แล้วก็วาง ไม่ได้ให้ค่า ไม่ได้ให้ความสนใจกับมัน ไม่ว่าจะเป็นคิดดีคิดไม่ดีก็แค่รู้ แล้วก็วาง ไม่สนใจต่อ มีความคิดลบคิดบวก อารมณ์ดี อารมณ์ไม่ดีก็แค่รู้เฉย ๆ
เรามาฝึกให้ความสนใจกับสิ่งเหล่านี้ดีกว่า ดีกว่าส่งจิตออกนอก ดีกว่าปล่อยใจออกไปกับเรื่องนั้นเรื่องนี้จนกระทั่งไม่มีเวลาที่จะมาอยู่กับตัวเองเลย ยุคนี้เป็นยุคที่การรู้จักให้ความสนใจเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะถ้าเราปล่อยใจไปตามอำนาจของสิ่งดึงดูดที่พยายามแย่งชิงความสนใจของเราไป สุดท้ายเราจะไม่เหลืออะไรเลย ไม่เหลือแม้กระทั่งเวลาที่จะเป็นตัวของตัวเอง มีลูก มีคนรัก เขาก็ทิ้งหมดเพราะว่าเราไม่สนใจเขา ไม่เหลืออะไรเลย ถ้าไม่รู้จักควบคุมความสนใจของเราให้เป็นที่เป็นทาง -
27 เม.ย. 68 - เรียกสติในยามวิกฤติ : คนส่วนใหญ่เวลาดมเรียกสติ ส่วนใหญ่ก็หมายถึงสติคือความระลึกได้ ซึ่งก็มีประโยชน์ แต่ว่าไม่พอ เพราะว่าเวลาอารมณ์รุนแรง ไม่ว่าจะเป็นความโกรธ ความกลัว สามัญสติอาจจะไม่พอ ไม่สามารถจะระลึกได้ว่า ที่จะทำไปจะเกิดโทษอย่างไรบ้าง หรือระลึกได้ว่า อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ
แต่ถ้าเราฝึกสัมมาสติได้มากพอจะลึกได้เร็ว จะรู้ตัวได้ไว จะเห็นอารมณ์ที่เกิดขึ้น รู้ตัวว่าเผลอแล้ว รู้ตัวว่าอารมณ์ท่วมท้น อารมณ์ก็จะเบาบางเพราะธรรมชาติของอารมณ์พวกนี้แพ้ทางสติ มันกลัวการถูกรู้ ถูกเห็น ฉะนั้นการท่อง การฟัง ได้ยินอะไรมามาก ๆ อาจจะช่วยให้เราระลึกได้ในยามจำเป็น แต่ว่าในบางครั้งระลึกไม่ได้เลย เพราะอารมณ์มันรุนแรง มันลืมตัวหนัก แต่พอเจอสัมมาสติเข้า เอาอยู่ ถ้าหากว่าได้ฝึกมา เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่เราควรจะต้องหมั่นฝึก ฝึกสัมมาสติ ฝึกให้มี ให้เห็น ให้รู้ทันความคิด ให้รู้ทันอารมณ์ อย่าหวังพึ่งตัวช่วย อย่าหวังพึ่งเพื่อนที่มาด้วยกัน เพราะบางทีเขาก็ไม่ได้มากับเรา หรือบางทีก็กลับยุเราด้วยซ้ำเพราะเขาก็โกรธพอ ๆ กับเรา ยุส่งให้เราไปลุยไปราวี แต่ว่าถึงแม้ไม่มีใครมาเตือนสติเราแต่ว่าสติในใจเรานี่แหละที่จะช่วยเราได้โดยเฉพาะถ้าเป็นสัมมาสติ -
26 เม.ย. 68 - ความร้อนสอนธรรม : ความรู้สึกว่าร้อนเป็นเวทนา ในยามนี้สำหรับคนส่วนใหญ่ก็คือทุกขเวทนา แต่ถ้าเกิดใจบ่นว่า “ร้อน ร้อนเหลือเกิน” อันนี้มันเจือไปด้วยความหงุดหงิด ความไม่พอใจ ตรงนี้เป็นสังขารแล้ว เวทนาอย่างเดียวเราจะมองว่าเป็นสัญญาก็ได้ เวทนาก็ได้ สังขารก็ได้
มันสำคัญยังไง สำคัญตรงที่ว่าเวลาเรารู้สึกร้อน แล้วมันไม่ใช่แค่รู้สึกร้อน แต่ใจมันบ่นว่า “ร้อน ร้อนเหลือเกิน” ตรงนี้มันแปลว่าไม่ใช่กายที่ร้อนอย่างเดียว ใจก็ร้อน ไม่ใช่กายที่ทุกข์อย่างเดียว ใจก็ทุกข์ด้วย แล้วถ้าเราปล่อยให้ใจทุกข์ มันก็เหมือนกับว่าทุกข์ 2 ชั้น หรือว่าร้อน 2 ต่อ ร้อนกายแล้วก็ร้อนใจ ถ้าร้อนแล้วมันทำให้ทุกข์กาย แล้วก็ทุกข์ใจตามไปด้วย ในเมื่อจะร้อนทั้งที ก็ให้มันร้อนอย่างเดียวคือร้อนกายแต่ว่าใจอย่าร้อน ในเมื่อมันทุกข์ ก็ให้ทุกข์แค่กายแต่ว่าใจอย่าทุกข์ แต่คนส่วนใหญ่ปล่อยให้ทุกข์ทั้งกาย ทุกข์ทั้งใจ ร้อนทั้งกาย ร้อนทั้งใจ แทนที่จะรู้สึกว่าร้อนเท่านั้น ใจมันก็บ่นว่าร้อน ร้อน มีความหงุดหงิด มีความไม่พอใจ เราเห็นไหม เห็นใจที่มันบ่นไหม เห็นใจที่มันหงุดหงิดไหม เห็นใจที่มันโวยวายไหม ถ้าไม่เห็นนี้ขาดทุน เพราะถ้าไม่เห็น มันก็ทุกข์ 2 ต่อ ทุกข์กายด้วย ทุกข์ใจด้วย ร้อนทั้งกาย ร้อนทั้งใจ และถ้าไม่เห็น ไม่เห็นว่าใจมันบ่น ใจมันโวยวายตีโพยตีพาย นอกจากจะแยกไม่ออกระหว่างสัญญา เวทนา และสังขาร ที่สำคัญก็คือ กลายเป็นทุกข์ฟรี ๆ -
25 เม.ย. 68 - สงบสยบอารมณ์ : ความอยากมันท่วมท้นใจ ถ้าไม่ได้นี่อัดอั้นมาก แต่ว่าพอมาดูความอยาก ดูเฉยๆ ความอยากมันก็ค่อยๆ ลด ค่อยๆ หายไป กลายเป็นว่าพอไปดูวันที่สี่กลายเป็นเบื่อไปเสียแล้ว ไม่อยากได้แล้ว ความอยากมันหายไปเลย หายไปเพราะอะไร เพราะดูมัน อันนี้เป็นวิธีการรับมือกับอารมณ์ที่มีประโยชน์มาก ไม่ใช่ทำตามมัน แล้วก็ไม่ใช่กดข่มมัน กดข่มมัน มันก็ไม่ไปไหน มันก็จะซ่อนอยู่ข้างใน แล้วพอกดมากๆ ถึงจุดนึงก็ระเบิด คนที่กดข่มความอยาก ไม่ว่าจะเป็นอยากเหล้า หรือว่าอยากบุหรี่ หรือว่าอยากเล่นเกม พอข่มไปมากๆ พอถึงวันนึงมันระเบิดออกมา ก็จมอยู่กับความอยากนั้นเต็มที่เลย อันนี้ไม่ใช่วิธีการที่ดี ได้ผลเป็นผลดีเฉพาะระยะสั้น
เช่นเดียวกับความโกรธ โกรธก็กดข่ม มันก็มีผลดีระยะสั้น แต่ถ้าทำไปบ่อยๆ ทำไปนานๆ มันก็ระเบิดออกมา พอระเบิดนี่บางทีเสียหายมากมาย ข้าวของถูกทำลาย หรือว่าด่าเสียๆ หายๆ ทำร้าย ใช้กำลังรุนแรง อันนี้เพราะว่าปรี๊ดแตก เพราะฉะนั้นทางที่ดีคือการที่มาดูมัน เห็นมัน รู้ซื่อๆ ดูมันเฉยๆ ใช้ความสงบสยบอารมณ์ -
20 เม.ย. 68 - การดูแลด้วยใจและสติ : ความเจ็บป่วยเป็นธรรมดาของชีวิต ไม่มีใครหนีพ้นความจริงข้อนี้ไปได้ แม้พยายามป้องกันเพียงใดก็ตาม ก็ย่อมมีวันที่จะต้องล้มป่วย ในยามนั้นนอกจากการเยียวยารักษากายแล้ว สิ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่ากันก็คือการดูแลรักษาใจ เพราะความป่วยใจมักเกิดขึ้นควบคู่กับความป่วยกาย บ่อยครั้งความป่วยใจยังซ้ำเติมให้ความป่วยกายเพียบหนักขึ้น หรือขัดขวางไม่ให้การเยียวยาทางกายประสบผลดี แต่หากดูแลรักษาใจให้ดีแล้ว ความทุกข์ทรมานก็จะลดลง อีกทั้งยังอาจช่วยให้ความเจ็บป่วยทุเลาลงด้วย
ป่วยกายแต่ไม่ป่วยใจนั้น เป็นไปได้ หากรู้จักวางใจให้เป็น ยิ่งกว่านั้นใจที่มีสติและปัญญา ยังสามารถหาประโยชน์จากความเจ็บป่วยได้ด้วย เช่น ทำให้เกิดความเข้าใจในความเป็นจริงของชีวิต ตระหนักถึงความไม่เที่ยงของสังขาร กระตุ้นให้เกิดความไม่ประมาท เร่งสร้างกุศล และทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุดในขณะที่ยังมีเวลา ความเจ็บป่วยจึงสามารถเป็นปัจจัยผลักดันให้ชีวิตเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ทำให้จิตใจเจริญงอกงามและเป็นสุข -
20 เม.ย. 68 - ทำบุญเพื่อละ
- Visa fler