Avsnitt
-
13 เม.ย. 68 - เตรียมพร้อมรับความตายอยู่เสมอ : การเจริญสตินี้มันก็ช่วยเราได้ เราไม่รู้ว่าเราจะตายเมื่อไหร่ ตายเพราะอะไร แต่ถ้าเกิดว่าจะต้องตายเพราะเหตุที่ปัจจุบันทันด่วน สติก็จะช่วยเราได้ ช่วยคุ้มครองใจเราไม่ให้ตื่นตระหนก แล้วก็เมื่อถึงเวลาที่จิตดับ ก็ไปสุคติ
อย่างคุณยายท่านนี้แม้ว่าจะตายแบบกะทันหัน แล้วก็ตายแบบไม่สวยในสายตาคนทั่วไป แต่ก็เชื่อว่าคุณยายน่าจะไปดี เพราะว่าตั้งอยู่ในความไม่ประมาท คุณยายได้ฟังธรรมะแล้วก็เตือนใจตัวเองว่าให้ว่าความตายไม่ใช่เป็นเรื่องที่น่ากลัว ให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท อยู่กับปัจจุบัน ทำให้ดีที่สุด แล้วก็กำลังจะใส่บาตรด้วย ทั้งหมดนี้ล้วนแต่มีส่วนอำนวยให้ใจของคุณยายเป็นกุศล แล้วก็แม้จะมีเหตุร้าย แต่ว่าก็เชื่อว่าจะไม่ตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นเพียงแค่ชั่วแวบเดียวก่อนที่จะสิ้นลม แม้เราจะไม่รู้ว่าเราจะตายเมื่อไหร่ แต่ว่าการเจริญสติสำคัญมาก ฝึกใจเอาไว้ พร้อมเผชิญกับทุกอย่างด้วยใจที่สงบ ฉะนั้นก่อนหน้านั้นก็ควรหมั่นทำความดี สร้างบุญ สร้างกุศลอยู่เนือง ๆ ไม่มีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจที่จะทำให้จิตมันหวนกระหวัดไปถึงตอนที่จะตาย ไม่ใช่ว่าตอนจะตาย ไปนึกถึงลูก นึกถึงทรัพย์สมบัติ นึกถึงความผิดพลาดที่เคยทำกับพ่อแม่ แบบนั้นก็คงจะไปไม่ดี แต่ถ้าจิตนี้ผ่องใส มีสติ ยิ่งสวดมนต์อยู่บ่อย ๆ ถึงเวลาตอนนั้นก็อาจจะนึกถึงบทสวดมนต์ กำกับจิตให้สงบได้ ก็แน่นอนว่าไปดีแน่ แม้ว่าจะไปแบบกะทันหันแบบนี้ก็ตาม -
12 เม.ย. 68 - ปรับจิตให้พอดี : หน้าที่ของครูบาอาจารย์ คือทำให้อยู่พอดี ๆ ซึ่งตรงนี้คือเหตุผลว่าทำไมคนเราควรจะมีอาจารย์ อาจารย์ที่จะช่วยตบให้เราไม่เหวี่ยงไปทางใดทางหนึ่ง ซึ่งอันนี้มันมีแต่อาจารย์ที่เป็นมนุษย์ที่จะทำได้นะ ทุกวันนี้เราพูดถึง AI นะ AI สอนธรรมะนี่ตอนนี้มีเยอะแยะ แต่ว่าสิ่งหนึ่งที่ AI ทำไม่ได้ ก็คือไม่รู้ว่าคนใช้เขามีจริตนิสัยอย่างไร เขาเอียงไปทางไหน แล้วจะแนะนำเขาให้กลับมาอยู่ในความพอดี หรืออยู่ในทางสายกลางได้อย่างไร
AI ทำไม่ได้นะ AI ได้แต่ตอบได้ว่าอนัตตาคืออะไร สติคืออะไร สัมปชัญญะคืออะไร แต่เวลาจะแนะนำการปฏิบัติให้มันถูกกับจริตนิสัย AI คงยังทำไม่ได้อีกนาน แล้วอาจจะทำไม่ได้เลย เพราะไม่รู้ว่าคนใช้เขามีจริตนิสัยอย่างไร เขามีความสุดโต่ง ความเอียงไปทางไหน เพราะฉะนั้นจะแนะนำให้เขาอยู่ในความพอดีนี่มันยาก แต่คนนี้ทำได้ โดยเฉพาะถ้าคนที่เป็นระดับครูบาอาจารย์ เขาก็จะสามารถทำในสิ่งที่มันไม่มีอยู่ในตำราก็ได้ แต่อาศัยความสามารถเฉพาะตัว เรียกว่าทำไม่อยู่ในแบบแผน ครูบาอาจารย์บางท่านนี่สอนลูกศิษย์ด้วยการถีบเลยนะ ไม่ใช่เฉพาะเซนอย่างเดียวนะ หลวงพ่อชาท่านก็ถีบเหมือนกัน AI ไม่ทำ AI ทำไม่เป็น เพราะคิดว่าหรือเพราะถูกสอนมาว่าการถีบนี่ไม่ดี แต่ว่าลูกศิษย์บางทีก็ถูกอาจารย์ถีบ แล้วก็บรรลุธรรมก็มี -
Saknas det avsnitt?
-
11 เม.ย. 68 - พื้นที่ปลอดภัยอยู่ที่ใจเรา : ถ้ามีความสุขเป็นตัวรองรับ มันก็ช่วยหนุนสติและปัญญาที่ทำให้รักษากายรักษาใจของเราให้ปลอดภัยได้ ใจเราจะไม่มีความปลอดภัยเลยถ้าขาดสติ ขาดปัญญา เป็นตัวเป็นเครื่องรักษา อยู่ที่ไหนก็ไม่ปลอดภัยแม้แต่อยู่ในบ้าน แม้แต่อยู่ในห้องนอนก็ไม่ปลอดภัย อันนี้ไม่ใช่เฉพาะเด็กอย่างเดียว ผู้ใหญ่ก็เหมือนกัน
แต่สิ่งที่จะช่วยให้ชีวิตเราปลอดภัยก็คือ ใจที่มีสติ ใจที่มีปัญญา พื้นที่ที่ปลอดภัยที่สุดก็คือ จิตที่มีสติ มีความรู้สึกตัวครอบครองใจ ตราบใดที่ถ้าใจยังไม่มีสติ ไม่มีความรู้สึกตัว เพราะขาดปัญญาหรือสติเป็นตัวกำกับแล้ว อยู่ที่ไหนก็ไม่ปลอดภัย โดยเฉพาะในยุคนี้ สื่ออินเตอร์เน็ตแพร่ไปทั่ว และไม่ใช่เฉพาะสื่ออินเตอร์เน็ตอย่างเดียว สิ่งแวดล้อมด้วย พวกมิจฉาชีพเดี๋ยวนี้มันก็อยู่กระจายไปทั่ว ฉะนั้นจะว่าไปแล้วถ้าเราต้องการชีวิตที่ผาสุก มันต้องมีพื้นที่ที่ปลอดภัยในใจของเรา ทำบ้านให้เป็นที่ปลอดภัยก็ได้ แต่ว่ามันก็ยังไม่ปลอดภัยอย่างแท้จริงจนกว่าใจเรานี้จะมีสติ มีปัญญา และมีความสุขที่ประณีตเป็นเครื่องหล่อเลี้ยง ถ้าไม่มีตรงนี้ก็ยังเรียกว่าชีวิตยังอยู่ในความเสี่ยง แม้จะเรียนจบหลายปริญญา แม้จะมีความรู้เยอะแต่ก็เอาตัวไม่รอด ที่เขาเรียกว่าความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด เพราะมันขาดสิ่งหนึ่งคือขาดความรู้สึกตัว แล้วความรู้สึกตัวจะมีได้เพราะมีสติและปัญญาเป็นเครื่องกำกับ เพราะฉะนั้นในยุคนี้การที่มีธรรมะโดยเฉพาะสติและปัญญา เรียกว่าเป็นหลักประกันเลยที่จะทำให้ชีวิตนี้มีความผาสุก ไม่ใช่ไม่มีอุปสรรค มี แต่ว่าก็สามารถจะผ่านมันได้ ไม่ใช่ว่าไม่เจ็บไม่ป่วย ยังต้องเจ็บต้องป่วย แต่ว่ามันก็ป่วยแต่กาย ใจไม่ป่วย ไม่ได้คับแค้นใจ -
10 เม.ย. 68 - ไม่รักษาใจก็ไม่รักตัวเอง : ถ้าขอโทษมันก็สบายใจ แต่พอไม่ขอโทษ ความขัดแย้งมันก็เลยยืดเยื้อเรื้อรัง ฉะนั้นถ้าหากว่าพวกเราไม่อยากโง่เพราะความโกรธ ก็ต้องพยายามดูแลใจให้มีอัตตาน้อยๆ เหมือนกับพ่อค้าแผงขายหนังสือ คนมาดูหนังสือแต่ไม่ซื้อเลยสักเล่ม ก็ไม่โกรธ เพราะไม่ได้ยึดมั่นว่าตัวกูของกู แถมเวลาเขาลำบากก็ช่วยเขา ตัวเขาเปียกปอน ก็ยื่นถุงพลาสติกให้
นี่คือวิธีการสร้างมิตร ถ้าเราโกรธ เราก็มีแต่จะเสียมิตร เสียเพื่อน แล้วก็ทำร้ายตัวเอง แต่ถ้าเราไม่โกรธ เราจึงจะเรียกว่ารักตัวเองอย่างแท้จริง.พวกเรานี่ต้องรักตัวเองให้เป็น เพราะถ้าเรารักไม่เป็น เราจะทำร้ายตัวเอง ด้วยความโกรธ ด้วยความกลัว เพราะจิตที่ไม่มีการดูแลรักษาให้ดี แต่ถ้าจิตเรามีการรักษา มีการดูแล ความโกรธไม่ครอบงำ ความกลัวไม่มารังควาน เราก็จะรักตัวเองได้อย่างแท้จริง -
9 เม.ย. 68 - เติมแสงสว่างให้แก่จิตใจ : บางคนขี้โกรธมาก บางคนขี้กลัวมาก พวกนี้อาจจะเป็นเพราะว่าอิทธิพลของจิตไร้สำนึกที่คอยมาปั่นป่วนในจิตใจ หน้าที่ของเราก็คือ ตรวจสอบว่ามันมีอะไรหมักหมมหรือว่าซุกซ่อนอยู่ในจิตไร้สำนึกไหม เราก็ต้องเริ่มต้นจากการที่เรามีสติ รับรู้ความคิดและอารมณ์ต่างๆ ในยามปกติ รู้แล้ววาง รู้แล้ววาง ทำอะไรด้วยความรู้เนื้อรู้ตัว มันก็จะช่วยทำให้การหมักหมม สะสมสิ่งที่เป็นขยะลงไปในจิตไร้สำนึกน้อยลง
พอทำให้มันน้อยลงแล้ว ต่อไปก็เข้าไปสอดส่องดูว่า มันมีอะไรซุกซ่อนอยู่หรือเปล่า แล้วก็จัดการเผชิญหน้ากับมัน มีความโกรธซ่อนอยู่ ก็เผชิญหน้ากับมัน ยอมรับมัน มีความเกลียดซ่อนอยู่ ก็เผชิญหน้ากับมัน มีความรู้สึกผิดซุกซ่อนอยู่ ก็เอามันขึ้นมา เผชิญหน้ากับมัน มีความระแวง มีความกลัวซ่อนอยู่ ก็ยอมรับมัน เผชิญหน้ากับมัน อันนี้ก็เปรียบเหมือนการเพิ่มแสงสว่าง หรือเอาแสงสว่างสาดส่องลงไป ไม่ใช่แค่ในจิตสำนึกอย่างเดียว แต่ลงไปถึงจิตไร้สำนึกด้วย มันก็ทำให้ชีวิตเราถูกอารมณ์ที่ซุกซ่อนอยู่ สร้างความปั่นป่วน รบกวนจิตใจเราน้อยลง ก็จะอยู่เป็นปกติสุขได้มากขึ้น -
7 เม.ย. 68 - ทำครบทั้งทำกิจและทำจิต : อาจารย์พุทธทาสเคยพูดอยู่เสมอว่า ชีวิตที่ดีคือชีวิตที่สงบเย็นและเป็นประโยชน์ อันนี้เป็นคำพูดที่เรียกว่าครอบคลุมทั้งการทำจิตและทำกิจ เพราะว่าสำหรับชาวพุทธ การทำจิตสุดท้ายคือเพื่อความสงบเย็น สงบเย็นคือสงบที่ใจโดยที่ไม่พึ่งอิงสิ่งแวดล้อม แม้จะอึกทึก พลุกพล่าน จอแจ เสียงดังอย่างไร คนจะไม่น่ารัก ทำตัวน่าระอา แต่ใจก็เป็นปกติ สงบเย็นได้ แม้กระทั่งมีสิ่งล่อเร้าเย้ายวนก็ไม่หวั่นไหว ใจไม่กระเพื่อม นี่คือสงบเย็น
แต่ว่าสงบเย็นอย่างเดียวไม่พอ ต้องเป็นประโยชน์ด้วย เป็นประโยชน์คือการทำกิจ ทำกิจเพื่อช่วยเหลือส่วนรวม ไม่ใช่เก็บตัวอยู่แต่ในป่า หรืออยู่ในวัด มุ่งมั่นให้จิตสงบเย็น แต่ว่าไม่คิดจะไปทำประโยชน์ให้กับส่วนรวม ไฟไหม้ก็ไม่สนใจถือว่าป่าไม่ใช่ของเรา ใครจะมาขโมยสมุนไพรในวัดก็ไม่กระตือรือร้นที่จะจัดการไล่ออกไป เพราะคิดว่าไม่ใช่ของเรา อันนี้เรียกว่าทำจิตแต่ไม่ทำกิจ แล้วที่จริงก็ทำจิตไม่ถูกต้องด้วย เพราะว่าการทำจิต อย่างน้อยต้องมีความกตัญญูรู้คุณ หรือต้องมีความเมตตา กตัญญูรู้คุณต่อสิ่งแวดล้อม มีความเมตตาต่อสรรพสัตว์ ฉะนั้นมีใครมาทำลายป่า ถ้าเรามีเมตตาจริง เราก็จะไม่อยู่เฉย จะเข้าไปขับไล่ไม่ให้มาทำลายป่า ไม่ให้มาทำลายสัตว์ เราจะมีความกตัญญูต่อธรรมชาติ แล้วเราก็จะช่วยกันรักษาธรรมชาติให้ดี ความกตัญญูรู้คุณ ความเมตตาก็เป็นเรื่องการทำจิต ไม่ใช่แค่ปล่อยวางอย่างเดียว แล้วคนไทยก็ไม่เข้าใจ ชาวพุทธก็ไม่เข้าใจ ไปเข้าใจว่าการปล่อยวางคือการวางเฉย ไม่ทำอะไร การวางเฉยไม่ทำอะไรนี่เป็นเรื่องการไม่ทำกิจ ซึ่งไม่ถูกต้อง การปล่อยวางถ้าเป็นการปล่อยวางที่ใจคือการทำจิตถูกต้องแล้ว แต่ว่าปล่อยวางแล้ว ไม่ใช่ว่านิ่งเฉย ปล่อยวางอย่างรับผิดชอบ คือสิ่งที่ครอบคลุมทั้งการทำจิตและการทำกิจ ถ้าปล่อยวางแบบวางเฉย ไม่รับผิดชอบ อันนี้เรียกว่าทำจิตก็ผิด แล้วก็ละเลยเพิกเฉยไม่ทำกิจด้วย มันก็ไม่ได้เป็นการปฏิบัติที่ถูกต้องตามหลักพุทธศาสนา ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องทำความเข้าใจ -
6 เม.ย. 68 - วิถีโลกกีดขวางเส้นทางธรรม : เวลาใจทุกข์ก็คิดแต่จะไปจัดการกับสิ่งที่อยู่นอกตัว เสียงดัง หรือว่าการกระทําคําพูดที่ไม่ถูกใจของใครบางคน คิดแต่จะไปจัดการกับสิ่งเหล่านั้น อันนี้เป็นวิธีการทางโลก วิธีการทางโลกมันเน้นการจัดการกับคน จัดการกับสถานที่ จัดการกับสิ่งแวดล้อม
แต่ในทางธรรม มุ่งจัดการกับใจของตัว หลายคนแม้จะมาปฏิบัติธรรมแล้ว แต่เนื่องจากต้องการความสงบ แต่ว่ายังติดวิธีการทางโลกอยู่ ก็ไปจัดการกับสิ่งภายนอก จัดการให้สิ่งแวดล้อมไม่มีเสียงรบกวน จัดการกับผู้คนให้ทําตัวเรียบร้อย การกระทําคําพูดไม่ก่อปัญหา แต่ที่จริงแล้วนั่นไม่ใช่วิธีการทางธรรม ทางธรรมคือมาจัดการที่ใจของเรา มาดูว่าใจเรามันมีอุปาทาน มีความยึดติดหรือเปล่า แต่ถ้าหากว่ายังมีความอยากได้ อยากได้ความสงบ มันก็อดไม่ได้ที่จะไปจัดการกับสิ่งภายนอก แต่ถ้าเรามุ่งลดละความยึดติดในใจ ยอมรับสิ่งต่างๆ อย่างที่มันเป็น เสียงดังก็ไม่ได้ทําให้ใจทุกข์ หรือว่าใครจะทําอะไร ก็สามารถจะวางใจไม่ทุกข์เพราะสิ่งเหล่านั้นได้ นี่คือจุดมุ่งหมายของการปฏิบัติธรรม การใช้ชีวิตทางธรรมมันต้องมาถึงจุดนี้ เพราะไม่อย่างนั้นถึงแม้ว่าภายนอกดูเหมือนกับยังปฏิบัติธรรม แต่ว่าข้างในก็ยังใช้วิธีการเดียวกับวิธีทางโลก มันก็เลยสวนทางกัน แล้วสุดท้ายก็ไม่สามารถจะพบกับความสงบอย่างแท้จริง เพราะว่าไม่สามารถทำให้เกิดการลดการละขึ้นได้ -
5 เม.ย. 68 - อย่าหลงสุขวันนี้จนละทิ้งสุขวันหน้า : ถ้าเราสามารถทำให้การอดทนอดกลั้นต่อความสุขชั่วคราว ความสุขเฉพาะหน้า มันไม่ใช่ความอดทน กล้ำกลืนฝืนทนอีกต่อไป แต่มันคือความสุข ถึงตอนนั้นมันก็ทำไปได้เอง ไม่ใช่ว่ายอมลำบากวันนี้เพื่อสบายวันหน้า ใหม่ๆ จะรู้สึกแบบนั้น ต้องยอมลำบากวันนี้ เพื่อสบายวันหน้า
แต่ต่อไป มันไม่ใช่ลำบากวันนี้แล้ว เพราะว่าสิ่งที่ทำในวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นการกินอาหารสุขภาพ การออกกำลังกาย การเรียนหนังสือ การค้นคว้าหาความรู้ การใช้เงินอย่างอดออม หรือการปฏิบัติธรรม ก็เป็นความสุขอย่างหนึ่ง เป็นความสุขแบบเรียบๆ ซึ่งมันช่วยหล่อเลี้ยงใจให้สามารถทำสิ่งเหล่านั้นไปได้เรื่อยๆ อย่างมีความหมาย ในทางตรงข้าม คนที่มีความสุขจากการกิน จากการจับจ่ายใช้สอย เพราะมือเติบ ไปถอยบัตรเครดิตมาหลายใบ หรือว่าเล่นเกม สุดท้ายไม่มีความสุข เพราะว่ามันสุขเท่าไหร่ก็ไม่พอสักที จ่ายเท่าไหร่ก็ไม่พอสักที แล้วก็มีความเครียดเหมือนคนจำนวนไม่น้อย แม้ว่าจะได้สิ่งปรนเปรอตามใจอยาก สุดท้ายก็ไม่มีความสุขเพราะเบื่อง่าย ความสุขจางคลายเร็ว แล้วก็ต้องดิ้นรนอยู่อย่างนั้น ต้องกลับไปหาความสุขที่มันแรงขึ้นเรื่อยๆ แล้วทำให้ชีวิตตกต่ำย่ำแย่ ฉะนั้น พวกเราต้องพยายามใช้เหตุผล หรือว่าปัญญา ในการเลือก อะไรที่มันเป็นความสุขเฉพาะหน้า แต่ว่าทุกข์ในวันหลัง เราต้องฉลาดพอที่จะอดกลั้นที่จะไม่หลงใหลเพลิดเพลินไปกับสิ่งนั้น เพื่อที่เราจะได้มีความสุขในวันหน้า แล้วต่อไป ถ้าเรามีสติมีปัญญา สิ่งที่เราอดกลั้น มันก็ไม่ใช่เป็นความลำบากอีกต่อไป มันก็จะกลายเป็นความสุขอย่างหนึ่งที่หล่อเลี้ยงใจ -
4 เม.ย. 68 - ทุกข์เพราะหลงสิ่งที่ไม่จริง : ถ้าเรารู้ว่าความทุกข์ที่เกิดขึ้นในใจมันเกิดจากการปรุงแต่ง เกิดจากการสร้างภาพ เกิดจากมายา สติช่วยทำให้เห็นว่าอันนี้มันเป็นของไม่จริง แม้กระทั่งตัวกู กูเดิน กูโกรธ กูโมโห กูเศร้า กูเกลียด พวกนี้ล้วนแต่ไม่จริง เพราะมันไม่มีตัวกูตั้งแต่แรก แต่ไปสร้างขึ้นมา การปฏิบัติธรรม คือการที่พาให้เรามาอยู่กับความจริง แล้วก็ยอมรับความจริง ความจริงที่ว่านอกจากหมายถึงการไม่มีกู ไม่มีของกูแล้ว ยังรวมถึงว่าทุกอย่างมันก็ไม่เที่ยง มันก็เป็นทุกข์ แต่พอเราไปยึดมั่นสำคัญหมายว่ามันเที่ยง ยึดมั่นสำคัญหมายว่าเป็นสุข ร่างกายนี้เราหมายมั่นคาดหวังว่าให้มันให้ความสุขกับเรา เราก็ยิ่งหลงยึดมันเข้าไปใหญ่ อันนี้ก็เรียกว่ายึดเพราะความไม่รู้ ไม่เข้าใจความจริง
แต่ถ้าเราเข้าใจความจริง มันก็ปล่อย มันก็วาง มันก็ไม่ปรุง มันหยุดปรุง แล้วมันก็หยุดยึดหยุดถือ ตรงนั้นแหละที่ทำให้จิตอิสระ พอจิตไม่ยึด ไม่ถือ ไม่หลง มันก็เกิดความอิสระ เกิดความปกติสุขขึ้นมา เพราะฉะนั้นให้กลับมาอยู่กับความจริง ให้กลับมาเรียนรู้ความจริง แล้วก็มารู้เท่าทันความไม่จริง หรือสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นมาในใจเรา ให้รู้ละเอียด รู้อย่างรวดเร็วฉับไว เพื่อไม่ให้ความหลงมันครอบงำใจ -
3 เม.ย. 68 - สุขเพราะปรุง ทุกข์เพราะแต่ง : การปฏิบัติธรรม เราต้องมองให้เห็นถึงตัวปรุงแต่งที่มันเกิดขึ้น ไม่ว่าบวกหรือลบ เห็นถึงการให้คะแนนว่าให้คะแนนยอด ให้คะแนนเยี่ยม หรือให้คะแนนแย่ ใจเรามันมีการปรุงแต่งอย่างนี้อยู่เสมอ ซึ่งก็เป็นตัวการที่ทำให้สุขหรือทุกข์ ถ้าสุขก็เพราะปรุงแต่งในทางบวก
ก็เหมือนกับหมาที่มันแทะกระดูกแล้วมันอร่อย ก็เพราะว่ารสชาติของน้ำลายจากปากของมัน ไม่ใช่เป็นเพราะรสชาติของกระดูก สิ่งที่เสพไม่สำคัญเท่ากับความรู้สึกของเราที่มีต่อสิ่งนั้น ไม่สำคัญเท่ากับการปรุงแต่งที่มีต่อสิ่งนั้น อาหารที่อร่อยไม่ได้อยู่ที่เครื่องปรุงมากเท่ากับการปรุงแต่งในใจเรา แล้วมองให้เห็น มองให้เห็น มันก็จะรู้ว่าทุกข์ก็เหมือนกัน ทุกข์มันก็เกิดเพราะการปรุงแต่ง ในใจเรา ไม่ใช่เป็นเพราะว่าสิ่งที่ประสบ สิ่งที่เสพ สิ่งที่เจอ อันนั้นยังไม่สำคัญเท่ากับการปรุงแต่งในใจเรา เป็นเพราะปรุงแต่งในทางลบ ให้ค่าในทางลบ หรือว่าเป็นเพราะว่ามันไม่ตรงกับความคาดหวัง นี้ถ้ามองไปลึก ๆ มันจะพบว่ามันมีปรุงแต่งอีกตัวหนึ่งซึ่งก็เป็นเรื่องใหญ่ ก็คือการปรุงแต่งตัวกูขึ้นมา เป็นผู้สุข ผู้ทุกข์ เป็นผู้เสพ ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องใหญ่อีกเรื่องหนึ่ง -
2 เม.ย. 68 - กับดักของผู้ใฝ่ธรรม : ติดดีหรือคาดหวังให้คนอื่นดีเหมือนตัวก็ดี หรือคาดหวังให้ตัวเองดีตามมาตรฐาน ลึกๆ ก็เป็นเรื่องของตัวกูทั้งนั้นแหละ ซึ่งมีกิเลสคือมานะอยู่เบื้องหลัง มานะก็คือความถือตัวถือตน ไม่ได้แปลว่าความเพียรพยายาม เดี๋ยวนี้เรามักจะแปลคำว่ามานะคือความพยายาม แต่ความจริงมานะเป็นกิเลสตัวหนึ่ง สําคัญมาก ความยึดติดในตัวกูของกู อยากให้ใครๆ ดีเหมือนกู หรืออยากให้กูเป็นที่เชิดหน้าชูตา โดดเด่น อยู่ในสายตาของคนอื่น หรือทําให้ตัวกูเป็นที่ยอมรับในสายตาของคนอื่น หรือว่าให้ใครๆ ดีในแบบของกู
พวกนี้ก็ล้วนแต่เป็นกับดักของนักปฏิบัติธรรม แม้ว่าจะขยันให้ทาน ขยันทําบุญ หรือว่ารักษาศีล หรือแม้แต่เจริญภาวนา แต่ถ้ามองไม่ทะลุ ไม่เห็นถึงการชักใยของตัวกูหรือมานะ ก็ทําให้ความติดดียากที่จะหายไปได้ มีแต่จะหนาแน่น แล้วก็คาดหวังต่างๆ คาดหวังผู้อื่น คาดหวังตัวเอง โดยที่ไม่ยอมรับความจริงอย่างที่มันเป็น สุดท้ายก็ทําให้เกิดความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับผู้อื่น และความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับตัวเอง ไม่ซื่อตรงต่อตัวเอง ไม่ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง สุดท้ายก็กลายเป็นคนที่หลอกตัวเอง พอหลอกตัวเองได้ก็หลอกคนอื่น กลายเป็นว่าแทนที่จะมั่นคงอยู่ในความดี กลับกลายเป็นไม่ดีไปเพราะว่าต้องคอยสร้างภาพอยู่เสมอ สร้างภาพให้คนอื่นเห็น หรือหนักกว่านั้นคือสร้างภาพให้ตัวเองยอมรับและหลงเชื่อ เรียกว่า ยิ่งติดดีก็ยิ่งคลาดเคลื่อนจากความดีมากเข้าไปใหญ่ เพราะฉะนั้นต้องระวัง ต้องรู้เท่าทันกับดักนี้ให้ได้ -
1 เม.ย. 68 - แผ่นดินไหวคือสัญญาณเตือนภัย : เหตุการณ์ครั้งนี้ก็เกิดขึ้นกับคนพม่า ไม่ใช่เรา หรือคนไทยส่วนใหญ่ แต่ใครจะไปรู้ วันหน้าอาจจะเกิดขึ้นกับเรา อาจจะไม่ใช่กับคนไทยส่วนใหญ่ก็ได้ แต่อาจจะเกิดขึ้นกับเราคนเดียวก็ได้ หรือว่าคนที่เรารัก ฉะนั้น ต้องมองว่านี่คือสัญญาณเตือนภัย เป็นเทวทูตอย่างหนึ่ง ก็ต้องเตรียม ทั้งเตรียมตัวและเตรียมใจ เตรียมตัว เตรียมการ รับมือกับน้ำท่วม ไฟไหม้ แผ่นดินไหว หรือว่าแก๊สระเบิด รถตกคู อันนี้ก็ต้องศึกษาเอาไว้ ว่าจะป้องกันอย่างไร และจะรับมืออย่างไร เพื่อไม่ให้สูญเสียชีวิต หรือสูญเสียทรัพย์สมบัติ เมื่อเกิดเหตุการณ์นั้น
แต่เมื่อถึงคราวที่จะต้องตายจริงๆ ก็ต้องทำใจได้เหมือนกัน เพราะว่าเรื่องแบบนี้มันไม่อยู่ในอำนาจของเรา มันเป็นสิ่งที่ต้องเตรียม ทั้งเตรียมตัวและเตรียมใจเสมอ และนี่คือสิ่งที่เราควรจะได้เรียนรู้จากเหตุการณ์นี้ด้วย ไม่ใช่แค่การเข้มงวดกับการสร้างตึก สร้างอาคาร หรือว่าการมีกฎระเบียบที่มันเข้มงวด แล้วก็ปลอดภัย รวมถึงการปรับปรุงระบบแจ้งเตือนภัย หรือการช่วยเหลือผู้ที่ประสบภัยเท่านั้น เราแต่ละคนก็ต้องเตรียมใจ หรือเตรียมการเพื่อรับมือกับสิ่งที่ไม่คาดคิดด้วย -
23 มี.ค. 68 - ดีหรือร้ายอยู่ที่ใจเรา : ถ้าเราจะมองเหตุการณ์ ก็ขอให้มองอย่างคนที่สอง เวลาเจออุปสรรค เวลาเจอปัญหาแทนที่จะบ่นว่าโชคไม่ดี ๆ ให้มองว่า โอ้ นี่เราโชคดี มีแบบฝึกหัดมาฝึกให้เราเข้มแข็ง ฉะนั้นเวลาเจอคนเขานินทาต่อว่าเรา ถ้ามองไม่เป็นก็ทุกข์ที่เขาว่าเรา แต่ถ้ามองเป็นเรียกว่ามองบวกก็จะเห็นว่า เออ เรารู้ว่าเราจะต้องแก้ไขอะไร ถือว่าได้ประโยชน์ ถือว่าได้คำแนะนำ มันอยู่ที่การมอง
เด็กสองคนยืนอยู่ใกล้ ๆ กันตอนเช้า ยืนอยู่ข้าง ๆ ใกล้ ๆ กัน คนหนึ่งนี่สดชื่นแจ่มใส อีกคนหนึ่งหม่นหมอง แปลกนะอยู่ใกล้กันมองไปข้างหน้าเหมือนกัน แต่ทำไมความรู้สึกไม่เหมือนกัน ถามคนแรกว่าทำไมสดชื่น แจ่มใส เขาบอกว่าเห็นท้องฟ้าสวยงาม แสงเงินแสงทองแต่งแต้มท้องฟ้าสวยงาม เห็นแล้วสบายใจ ถามคนที่สองทำไมห่อเหี่ยว เขาบอกว่าเห็นถนน มันเป็นหลุมเป็นบ่อ เฉอะแฉะ มีขยะอยู่ข้างทางเต็มไปหมดเลย คนหนึ่งเห็นท้องฟ้าอยู่ข้างหน้า แต่คนหนึ่งเห็นถนนที่เฉอะแฉะ ถ้าเราเห็นท้องฟ้าเราก็สดชื่น เบิกบาน แต่ถ้าเราเห็นถนนเฉอะแฉะเราก็จิตใจหม่นหมอง เราเลือกได้ว่าจะมองฟ้าหรือมองถนน เหมือนกับเด็กผู้ชายก็เห็นว่าโชคร้ายที่น้ำปลาหายไปครึ่งหนึ่ง แต่น้องสาวบอกโชคดีที่คว้าได้ทัน มีน้ำปลาเหลืออยู่ครึ่งหนึ่ง เวลาเจอเหตุการณ์แบบนี้อยู่เรื่อย ๆ แต่เราจะสุขหรือจะทุกข์อยู่ที่มุมมองของเรา เรียกว่ามองลบหรือมองบวก บางทีเราเข้าแถวตักอาหาร เราไม่ได้ไก่ทอด ข้างหน้าเขาตักไก่ทอดไปก่อนแล้ว เป็นไก่ทอดชิ้นสุดท้ายด้วย เสียใจอดกินไก่ทอด แต่คนหนึ่งเขาบอกว่า เออ มีหมูย่าง ถึงไม่มีไก่ทอดแต่ว่ามีหมูย่าง จะเสียใจไปทำไม คนหนึ่งคิดแต่ว่า ฉันไม่ได้ไก่ทอด ๆ เพราะว่าคนข้างหน้าเขาตักไปแล้ว แต่อีกคนหนึ่งบอกว่า ฉันมีหมูย่าง ไม่สนใจถึงแม้จะไม่มีไก่ทอดแต่มีหมูย่าง คนแรกก็จะทุกข์ เสียใจโกรธเพื่อนว่า ทำไมตักเอาไก่ทอดไป แต่คนที่สองเขาไม่ทุกข์เลยเพราะว่าเขาเห็นหมูย่าง อยู่ที่มุมมอง ถ้ามองไม่เป็นก็ทุกข์ แต่ถ้ามองเป็นก็ยิ้มได้สบายมาก อยู่ที่ใจ -
22 มี.ค. 68 - อย่าหลงเชื่อเหตุผลไปเสียหมด : การที่เรามีสติมันช่วยให้เราไม่หลงเชื่อความคิด ไม่หลงเชื่อเหตุผลอะไรง่าย ๆ ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลหรือความคิดที่กิเลสปรุงแต่งขึ้นมา หรือว่าเป็นเพราะสมองมันทำของมันขึ้นมาเอง ฉะนั้นการรู้จักไตร่ตรองใคร่ครวญไม่หลงเชื่อเหตุผลก็สำคัญ คนเราอย่าไปคิดว่ามีเหตุผลนี่ดีเสมอไป เพราะเหตุผลบางอย่างก็ไม่ถูกต้องเหมือนกัน การที่เรามีสติมันช่วยให้เราใคร่ครวญ อะไรที่เราทำโดยที่ไม่รู้ตัว เราก็ยอมรับว่าทำโดยไม่รู้ตัว เพราะเผลอไป อะไรที่เราทำไม่ได้ ก็ไม่อ้างว่าเป็นเพราะองุ่นเปรี้ยว แต่เป็นเพราะว่าเราไม่มีความเพียรพยายามเพียงพอ
อันนี้มันทำให้เราเกิดอาการที่เรียกว่า ซื่อตรงต่อตัวเอง แต่คนเราการที่จะซื่อตรงต่อตัวเองมันก็ยาก เพราะว่าความติดดี อยากจะให้ใครยอมรับ หรืออยากจะให้ตัวเองรู้สึกดี จะบอกว่า ฉันล้มเหลว ฉันเลิกเพียรพยายามเพราะว่าขี้เกียจ บางทีเราก็ยอมรับไม่ได้ เราก็เลยอ้างว่าเป็นเพราะองุ่นมันเปรี้ยว ก็เลยไม่อยากจะเสียเวลากับมัน แต่ที่จริงไม่ใช่หรอก เป็นเพราะไม่มีความเพียรมากพอมากกว่า การที่คนเราจะยอมรับว่า ฉันไม่มีความเพียรมากพอ มันยากเพราะมีอัตตา ความติดดี อีโก้ มันทำให้เรายอมรับความจริงอันนี้ไม่ได้ เราก็เลยไปสรรหาเหตุผลอ้างเป็นเพราะว่าที่ไม่ทำ ที่ไม่ไปกระโดดงับองุ่นเพราะองุ่นมันเปรี้ยว เสียเวลา อันนี้จะเรียกว่าเป็นเพราะการติดดีก็ได้ที่ทำให้มีเหตุผลอย่างนั้นขึ้นมา -
21 มี.ค. 68 - อย่าดูแคลน ความหลงลืมในใจตน : คนที่ดูถูกคนเมา หาว่าโง่ สุดท้ายตัวเองก็กินเหล้าจนเมา ไม่ใช่เมาอย่างเดียว ติดเหล้า เป็นโรคสุรารื้อรัง ตายเพราะเหล้าก็มีเยอะ อันนี้เรียกว่าเพราะประมาทเหมือนกัน ประมาทว่าคนอย่างกูไม่มีทางที่จะเมาเหล้าจนเหมือนหมาหรอก นั่นมันคนอื่นแต่ไม่ใช่กู สุดท้ายก็ลืมไปว่าเคยปรามาสใครเอาไว้ แล้วก็กลายเป็นขี้เมาหยำเป ถึงบอกว่า อย่าถือคนบ้าอย่าว่าคนเมา เพราะถ้าไปว่าเขาแล้วเดี๋ยวก็อาจจะเป็นเสียเอง คนที่ไม่ประมาท เขาก็จะไม่ต่อว่าใครง่ายๆ เพราะเขารู้ว่าเราเองก็อาจจะเป็นอย่างนั้นได้เหมือนกัน ถ้าเราประมาท
เห็นคนติดยาติดการพนัน ก็ไม่ได้ไปดูถูกเขา เพราะว่าวันดีคืนดีตัวเองก็อาจจะเป็นอย่างนั้นได้เหมือนกัน พระที่เคร่งวินัย ดูถูกหรือต่อว่าคนกินเหล้าว่าแค่ศีล 5 ยังทำไม่ได้ แล้วจะไปทำอะไร แต่สุดท้ายพอสึกออกไป กลายเป็นคนติดเหล้าเมาหยำเป จนกระทั่งไม่มีใครคบ ไม่มีใครหา ไม่มีใครว่าจ้าง ต้องไปคุ้ยหาของในขยะไปขาย เพราะว่าทำอะไรก็ไม่ได้ เอาเงินไปทำอะไร ไปกินเหล้า สุดท้ายก็โดนรถชนตาย จากพระที่เป็นผู้ที่เคร่งในวินัย กลายเป็นขี้เหล้าเมาหยำเปก็มี อันนี้เรียกว่าคนเราถ้าหากว่าไม่ระมัดระวัง ขาดสติ ตั้งอยู่ในความประมาท ที่เคยเห็นว่าถูกต้องดีงาม มันลืมหมด สุดท้ายก็ลืมตัว พอลืมตัวแล้วก็พลาดท่าเสียที เพราะฉะนั้นอย่าประมาทความสามารถในการหลงลืมของคนเรา ลืมของยังไม่เท่าไหร่ แต่ลืมตัวนี่หนักมาก แล้วคนที่ไม่ประมาทเขาก็จะใส่ใจการฝึกฝน ไม่เปิดช่องให้กิเลสเข้ามาครอบงำได้ง่ายๆ -
30 มี.ค. 68 - มีสติเมื่อใด ใจไม่ก่อทุกข์ : หากว่าเราเข้าใจ สามารถที่จะเจริญสติให้งอกงามขึ้นมาในใจ ก็จะเห็นเลยว่าสุขหรือทุกข์มันไม่ได้อยู่ที่ว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับเรา แต่มันอยู่ที่ว่าเราปฏิบัติอย่างไรต่อสิ่งนั้น แค่รู้เฉย ๆ หรือว่าไปปรุงแต่งให้ค่า เผลอปรุงแต่งให้ค่าเกิดอารมณ์ขึ้นมาแล้วก็ยังมีโอกาสที่จะรู้เฉย ๆ หรือว่าเข้าไปยึดอารมณ์นั้น
ฉะนั้นถ้าเราปฏิบัติแล้วเราไม่เห็นตรงนี้ มันก็น่าเสียดาย แต่ว่ามันก็ยังไม่สายที่เราจะปฏิบัติจนถึงจุดนั้นได้ แล้วเราก็จะเข้าใจว่า ทุกอย่างเป็นธรรมะทั้งนั้น อย่างที่ท่านหลวงพ่อชาได้พูดไว้ ผู้ใดมีสติทุกเวลาผู้นั้นย่อมได้ฟังธรรมะของพระพุทธเจ้าตลอดเวลา -
19 มี.ค. 68 - สิ่งดีๆที่ได้ระหว่างทาง : เพราะไปเชื่อใจ ไปเชื่อใจว่ามันใช่เเน่ จริงๆ มันไม่ใช่หรอก ใจเรามันเปลี่ยนแปลงได้ง่าย แล้วเราก็เห็นได้ง่ายจากการปฎิบัตินี่แหละ แล้วเราจะรู้ต่อไปนะว่า ใจไม่ใช่ของเรา ใจไม่ใช่เรา ใจไม่ใช่ของเรา แต่ก่อนคิดว่าใจเป็นเรา เป็นของเรา ความคิดเป็นเรา เป็นของเรา ไม่ใช่ ไม่มีอะไรที่จะเป็นเราเป็นของเราเลย นี่ก็เป็นความรู้นะ
เพราะฉะนั้นถึงเเม้เราจะยังไม่ได้บรรลุถึงเป้าหมายที่ต้องการในการมาที่นี่ แต่ว่าระหว่างทางก่อนที่จะถึงเป้าหมาย มันมีอะไรดีๆ ให้กับเรามากมาย มันฝึกอะไรเราได้เยอะเลยนะ เเละก็มีความสำคัญด้วย ไม่ว่าจะเป็นการยอมรับสิ่งต่างๆ ด้วยใจที่เป็นกลาง การรู้จักมองในสิ่งต่างๆ ว่ามันมีข้อดี ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเราดีทั้งนั้น อยู่ที่ว่าเราจะมองเห็นหรือเปล่า แล้วก็ได้เรียนรู้ใจของเรานะว่า มันมีอะไรให้เรียนรู้เยอะเลย เเม้ว่าจะหัวหกก้นขวิดระหว่างปฎิบัติ เเม้จะมีความฟุ้งซ่านหงุดหงิด เเต่นั่นก็ให้อะไรดีๆ กับเราเยอะเลย -
16 มี.ค. 68 - เติมเต็มใจให้หายพร่อง : อย่าไปรังเกียจความคิดฟุ้งซ่าน ความหลง อะไรที่เกิดขึ้นกับเรา จะดีหรือแย่อยู่ที่เรา ความคิดฟุ้งซ่านความหลงเกิดขึ้น ถ้าเอามาใช้ฝึกสติ มันก็เป็นของดี แต่ถ้าปล่อยให้มันครองจิตครองใจจนหลงจนทุกข์ อันนี้ก็ไม่ดี แต่ทุกข์แล้วก็ยังจะดีขึ้นได้ถ้าหากว่าเห็นทุกข์ เห็นทุกข์แต่ไม่เป็นทุกข์ ความทุกข์นี้พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นความจริงอันประเสริฐ
แต่มันจะประเสริฐได้ก็ต่อเมื่อเราเห็นมัน ถ้าเราเห็นความทุกข์ มันจะกลายเป็นความจริงอันประเสริฐ แต่ถ้าไม่เห็นมัน คือ เข้าไปเป็นมัน มันก็ไม่ใช่ความจริงอันประเสริฐ มันกลับจะทำให้เราเป็นทุกข์หนักขึ้น และมันเกิดขึ้น ก็ดี ถ้าหากรู้ ฉะนั้นอย่าไปคิดว่าปฏิบัติแล้วมันต้องไม่คิด มันต้องไม่หงุดหงิด มันต้องไม่ว้าวุ่น แม้หงุดหงิดแต่รู้ ก็ดีกว่าไม่หงุดหงิดโดยที่ไม่รู้ มีความฟุ้งเกิดขึ้น ก็ดี ถ้ารู้ ดีกว่าสงบแต่ไม่รู้ รู้เป็นสิ่งที่ดี แล้วจะรู้ได้ก็ต้องมีความคิดฟุ้งซ่าน มีอารมณ์ต่างๆ มาฝึก เป็นแบบฝึกหัดให้สติรู้ ใหม่ๆ รู้ช้า คิดไป 10 เรื่องถึงค่อยรู้ตัวหรือรู้ว่าเผลอคิดไป แต่ต่อไปมันจะรู้ได้เร็วขึ้น รู้ได้เร็วขึ้น แล้วกลับมาได้เร็ว กลับมาได้เร็ว การปฏิบัติ เราไม่สนใจว่ามันจะไปไหน แต่เราจะพยายามฝึกให้มันกลับมา ไปไม่ว่า ให้กลับมาไวๆ กลับมาไวๆ กลับมาที่ไหน กลับมาที่กาย กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว แล้วรู้สึกตัว ทำอย่างนี้เรื่อยๆ มันจะเป็นการเติมความรู้สึกตัวให้กับใจ เมื่อเติมเรื่อยๆ เติมเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง มันก็จะรู้สึกเติมเต็มขึ้นมา จิตใจเราได้รับการเติมเต็มแล้วทีละเล็กทีละน้อย ความพร่องก็จะค่อยๆ ลดลง พอความรู้สึกตัวเติมเต็มจิตใจเรา เราจะรู้สึกมั่นคงสงบนิ่งได้ ไม่ว้าวุ่น ไม่แส่ส่าย แล้วถ้าใจเราได้รับการเติมเต็ม ขาดความพร่อง ความสุขความสงบก็จะเกิดขึ้นกับชีวิตของเรา -
15 มี.ค. 68 - สรรเสริญนินทา เป็นธรรมดาโลก : ถ้าเรารู้ว่าใจเราเอาแน่เอานอนไม่ได้ เราก็จะไม่พลีผลามเชื่อใจของเรา เวลาชอบก็ไม่ใช่ว่าจะโจนเข้าไปหาสิ่งที่ชอบ เวลาไม่ชอบอะไรก็ไม่ใช่ว่าจะผลักไสถอยห่างสิ่งเหล่านั้น ก็ดูมันไป เพราะฉะนั้น ถ้าเราเห็นความไม่แน่นอนของใจ โดยเฉพาะความชอบความไม่ชอบ เราก็รู้ว่าเชื่อมันมากไม่ได้ อย่างที่หลวงพ่อชาท่านก็สอนลูกศิษย์ว่า ใจเราอย่าไปเชื่อมันนะ เชื่อไม่ได้ แต่ถึงแม้มันแปรเปลี่ยนไป เราก็ไม่ต้องทุกข์กับมัน ก็แค่ดูมันไปเรื่อยๆ ดูมันขึ้นดูมันลง ดูมันดีใจดูมันเสียใจ ไม่หลงเชื่อมันง่ายๆ
อันนี้ก็ทำให้เราได้รู้จักตัวเองได้ดีขึ้น รู้จักใจของเรา ความชอบใจความไม่ชอบใจของคนอื่น เราก็รับรู้ว่ามันเป็นธรรมดา ไม่ปล่อยใจให้เคลิบเคลิ้มเมื่อคนชม ไม่ปล่อยใจจมดิ่งอยู่ในความทุกข์เมื่อมีคนตำหนิ เพราะเรารู้ว่าทำอะไรก็ตาม แม้จะดีแค่ไหน ก็มีคนไม่พอใจอยู่นั่นเอง หรือแม้แต่ทำแย่ๆ มันก็ยังมีคนที่สรรเสริญเรา พอใจ เอานิยามไม่ได้ว่า สิ่งที่เราทำ ถ้ามีคนพอใจ แสดงว่าดี สิ่งที่เราทำ ถ้ามีคนไม่พอใจ แสดงว่าไม่ดี อันนั้นก็ไม่ใช่ เอาความรู้จักแยกแยะ มีวิจารณญาณ ไม่หวั่นไหว ใจกระเพื่อมไปกับเสียงสรรเสริญนินทา ขณะเดียวกัน ความพอใจความไม่พอใจที่เกิดขึ้นในใจ ก็แค่ดูมันเฉยๆ เห็นมัน หาประโยชน์จากมันให้ได้ ถ้าเรารู้จักหาประโยชน์จากสิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา แม้แต่คำต่อว่าด่าทอก็มีประโยชน์ เป็นขุมทรัพย์ที่ให้บทเรียนกับเรา แม้แต่ถูกด่าก็ยังเห็นสัจธรรม อันนี้หลวงพ่อคำเขียนเคยสอนเอาไว้ ใจที่ขึ้นที่ลงก็เหมือนกันนะ มันก็สอนอะไรเรามากมาย ให้เห็นว่าใจมันไม่เที่ยง ไม่ใช่ของเราเลย คุมไม่ได้ และสิ่งนี้จะทำให้เราเกิดปัญญา เมื่อเจอความไม่เที่ยง ไม่ว่าสรรเสริญหรือนินทา ไม่ว่าชอบใจหรือไม่ชอบใจ ได้ประโยชน์จากสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ถ้าวางใจไม่เป็น ก็ทุกข์ หรือไม่ก็พลาดท่าเสียทีกิเลสได้ - Visa fler