Avsnitt

  • 15 พ.ย. 67 - จิตสว่างไสวเหมือนพระจันทร์วันเพ็ญ : ถ้าหากว่ามีธรรมะเป็นที่พึ่ง ชีวิตก็จะเข้าถึงความอิสระอย่างแท้จริง จะว่าไปก็เปรียบเหมือนกับดวงจันทร์ ดวงจันทร์ในคืนวันเพ็ญที่สว่างไสว จิตใจที่เข้าถึงธรรมก็จะสว่างไสวอย่างนั้น เพราะเป็นจิตใจที่ปลอดพ้นจากความหลง ไม่ว่าจะเป็น ความหลงขั้นต้นคือความไม่รู้สึกตัว หรือ ความหลงที่สูงกว่านั้นคือการไม่รู้ความจริง

    ขึ้นชื่อว่าการไม่รู้ตัว หรือไม่รู้ความจริง มันก็ทำให้จิตใจหมองคล้ำ เพราะมันทำให้ยึดมั่นถือมั่น ไม่ว่าสิ่งที่ให้ความสุขกับเราแต่เจือไปด้วยทุกข์ หรือสิ่งที่มันเป็นบาปอกุศลที่สร้างความขุ่นข้องหมองใจ ความหลงแบบนี้ ทำให้จิตใจเศร้าหมอง แต่ถ้าขับความหลงออกไป เริ่มจากความไม่รู้ตัว จนกระทั่งต่อไปคือความไม่เข้าใจความจริงหรือสัจธรรม จิตใจก็จะแจ่มกระจ่าง เหมือนกับพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ ความสว่างของดวงจันทร์ สามารถขับไล่ความมืดออกไปได้ ในขณะที่ความมืดไม่สามารถที่จะบดบังทำให้พระจันทร์เศร้าหมองเลย ยิ่งมืดเท่าไหร่ พระจันทร์ก็ยิ่งสว่างไสวมากเท่านั้น อันนี้ก็หมายความว่า เมื่อจิตใจเราได้เข้าถึงสัจธรรมแล้ว แม้รอบตัวของเราจะเต็มไปด้วยคนที่ไม่น่ารัก จะมีคำตำหนิติฉินนินทา มันก็ไม่ทำให้จิตใจเราเป็นทุกข์ได้ พูดง่ายๆ ก็คือว่า ไม่ว่าจะเจอโลกธรรมฝ่ายลบฝ่ายบวก จิตก็ยังผ่องใส ใจไม่กระเพื่อม ไม่หวั่นไหวไปกับโลกธรรมที่มากระทบ เหมือนกับดวงจันทร์ที่มีความมืดโดยรอบก็ทำอะไรไม่ได้ ยิ่งมืดมากเท่าไหร่ก็ยิ่งสว่างไสวมากเท่านั้น ยิ่งใครมาทำร้าย ใครมาต่อว่า หรือมาเบียดบัง จิตใจก็ยิ่งแจ่มกระจ่าง ฉะนั้น เวลาเรามาถึงวันเพ็ญเดือน 12 อย่านึกถึงแต่การลอยกระทง ให้นึกถึงธรรมะที่สืบเนื่องจากการปรินิพพานของพระสารีบุตรด้วย
  • 14 พ.ย. 67 - โชคกับเคราะห์มีประโยชน์เสมอกัน : การปฏิบัตินั้นถ้าเราอยากจะมีชีวิตที่สงบ เย็น เป็นสุข เราก็ต้องรู้จักปฏิบัติต่อบวกและลบ โชคและเคราะห์ เท่า ๆ กัน เสมอกัน สำหรับคนที่ไม่ได้ปฏิบัติด้วยการเจริญสติ มันก็อาจจะยาก อาจจะยากที่จะวางใจเป็นกลางต่ออารมณ์บวกและอารมณ์ลบ แต่สำหรับคนที่เจริญสติแล้วจะทำได้ง่ายกว่า

    แต่ถ้าเจริญสติแล้วเราไม่ได้รู้จักวางใจเป็นกลางต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อันนี้ก็สันนิษฐานว่าปฏิบัติไม่ถูกหรือว่ายังปฏิบัติไม่มากพอ เพราะถ้าเราเจริญสติถูก เจริญสติได้ดี เราจะรู้จักวางใจเป็นกลางต่อบวกและลบที่เกิดขึ้นในใจ เพราะว่าการรู้ซื่อ ๆ มันก็คือวางใจเป็นกลางต่ออารมณ์ที่น่ายินดี แล้วก็อารมณ์ที่ไม่น่ายินดี ความคิดบวกหรือความคิดลบ ความพึงพอใจหรือความไม่พึงพอใจที่เกิดขึ้น ก็เห็นมันมีค่าเสมอกัน ทีแรกเพราะมีสติรู้ทัน รู้ซื่อ ๆ ตอนหลังก็เพราะเห็นว่ามันก็สอนสัจธรรมเหมือนกัน สอนเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เหมือนกัน มันมีค่าเสมอกันในทางธรรม ถ้ามองในระดับวิปัสสนา แต่ถ้ามองในระดับสมถะ ความปีติ ความยินดี ความสงบ มันดีกว่าความหดหู่ ห่อเหี่ยว ความเบื่อ เวลาเราเจริญสมถะนี้ เราจะมีการเลือกที่รักมักที่ชัง อารมณ์ที่เป็นบวกก็เอา อารมณ์ที่มันเป็นลบก็ไม่เอา ผลักไส แต่เวลาเราเจริญวิปัสสนา อารมณ์ที่บวกหรือลบมีค่าเสมอกัน เพราะว่ามันสามารถจะก่อให้เกิดทุกข์ได้ถ้าไปยึด แต่ถ้าไม่ยึดมัน รู้จักมองมัน มันก็สอนสัจธรรมให้กับเราได้ และนี่แหละก็คือเหตุผลว่าทำไมเราควรปฏิบัติต่อโชคและเคราะห์ สุขและทุกข์ บวกและลบ เสมอเหมือนกัน
  • Saknas det avsnitt?

    Klicka här för att uppdatera flödet manuellt.

  • 8 พ.ย. 67 - ปลูกสติจนเป็นธรรมประจำใจ : คนเราพอมีความทุกข์มักจะหนี แต่บางคนก็พยายามหาหนทางออกจากทุกข์ พอคนเราหาทางออกจากทุกข์ ก็มาใคร่ครวญ จนพบความจริงว่า ป่วยกายแต่ใจไม่ป่วยก็ได้ ที่ป่วยใจเพราะอะไร เพราะว่าใจที่ไม่อยู่กับปัจจุบัน ใจที่ยึดติดถือมั่น ใจที่มองเห็นแต่ความทุกข์ ไม่รู้จักมองเห็นความสุขที่มีอยู่รอบตัว

    ขนาดป่วยอย่างนี้เธอก็ยังรู้จักหาความสุข ไม่ใช่จากการกินดื่มเที่ยวเล่น แต่จากการมองชีวิตในมุมใหม่ แล้วก็พบว่า สิ่งที่เธอมีอยู่ เป็นอยู่ตอนนี้ มันก็มีความสุขให้เธอได้เก็บเกี่ยว หรือว่าชื่นชมได้ อันนี้ก็เลยเป็นแง่คิดสำหรับคนที่เจ็บป่วยอยู่แล้ว หรือแม้กระทั่งไม่เจ็บป่วย แต่ก็น่าจะใคร่ครวญ เพราะว่าความทุกข์ความเจ็บป่วย รวมทั้งความพลัดพรากสูญเสีย มันต้องเกิดขึ้นกับเราแน่นอนในวันข้างหน้า ไม่มีใครหนีพ้น รวมทั้งความตายด้วย แต่ถ้าเรารู้จักวางใจให้ถูก เข้าใจความจริงของชีวิต เข้าใจจิตใจของตัวเอง โดยเฉพาะเข้าใจความทุกข์ของตัวเอง ก็สามารถจะออกจากทุกข์ หรือว่าเป็นอิสระจากความทุกข์ได้
  • 7 พ.ย. 67 - หมั่นมองตน ไม่เพ่งโทษคนอื่น : เราต้องหมั่นมองตนอยู่เสมอ อย่ามัวแต่เพ่งโทษคนอื่น เพราะถ้าเราเพ่งโทษคนอื่น เราจะเผลอ ไม่ดูแลใจ แล้วกิเลสมันก็จะมาครอบงำ ฉะนั้นการมีสตินี้มันจึงสำคัญมากเลย เพราะสติช่วยทำให้เราไม่มัวแต่เพ่งโทษคนอื่น แต่ว่าคอยหมั่นมองใจ หมั่นมองตน แล้วคอยเตือนตนอยู่เสมอ ยิ่งเราเตือนตนมากเท่าไหร่ ไม่ประมาท ไม่ดูแคลนกิเลส เราก็มีโอกาสที่จะรับมือกับกิเลสได้ดีขึ้น

  • 6 พ.ย. 67 - มั่นคงในวิถีธรรม : บ่อยครั้งแม้เรามาปฏิบัติธรรม แต่เราเอาวิถีทางโลกมาใช้ แสวงหาสิ่งที่ถูกใจ อะไรที่ทำให้สบายก็ถือว่าดี อะไรที่ทำให้ไม่สบาย ไม่ถูกใจ ถือว่าไม่ดี แต่ว่าในทางธรรมจะดีหรือไม่ มันอยู่ที่ว่าเราเกี่ยวข้องกับมันอย่างไร สุขอาจจะไม่ดีก็ได้ถ้าเกิดหลง ทุกข์อาจจะดีก็ได้ถ้าเกิดรู้ทุกข์ หรือว่ารู้เท่าทันอารมณ์ที่ทำให้เป็นทุกข์

    เวลาเรามาปฏิบัติธรรม ต้องหมั่นสังเกตว่า เราเอาวิถีทางโลกมาใช้ในการปฏิบัติธรรมหรือเปล่า เพราะถ้าเราเอาวิถีทางโลกมาใช้กับการปฏิบัติธรรม เราก็จะแสวงหาแต่สิ่งที่ถูกใจ สิ่งที่พอใจ สงบดี แต่ถ้าไม่สงบนี่ไม่ดี แต่ที่จริงแล้วไม่สงบมันก็อาจจะดีได้ ถ้าใช้มันให้เป็น เช่นเดียวกัน คำชมในทางโลกถือว่าดี แต่ในทางธรรมอาจจะไม่ดีก็ได้ถ้ามันทำให้เราประมาท ในทางตรงข้าม คำต่อว่าด่าทออาจจะดีก็ได้ ถ้าเรารู้จักใช้มัน เอามาเป็นเครื่องฝึกใจ ให้ลดละความยึดมั่นถือมั่น ลดละความยึดมั่นในหน้าตา หรือมีสติรู้ทันความไม่พอใจที่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจความแตกต่างระหว่างวิถีโลกและวิถีธรรม และถ้าเราเห็นว่าวิถีธรรมมันดี ก็อย่าลืมอย่าเผลอเอาวิถีโลกมาใช้กับวิถีธรรม จนกระทั่งทำให้เสียหลักไป
  • 5 พ.ย. 67 - ดูแลใจให้สงบและสว่าง : และปัญญาที่เกิดขึ้นมันช่วยถอนรากถอนโคนที่มาแห่งความทุกข์ หรือสมุทัยได้ ยังไม่นับการที่เราได้เห็นว่าเรามีนิสัยใจคออย่างไร บางคนก็เพิ่งมารู้ว่าเป็นคนชอบคิดลบคิดร้าย เป็นคนที่เจ้าอารมณ์ ก็ตอนที่มาปฏิบัตินี่แหละ

    ก่อนหน้านั้นไม่รู้ พอมาปฏิบัติก็เห็นความคิดลบคิดร้ายเกิดขึ้น ความขี้อิจฉา หรือความขี้โกรธเจ้าอารมณ์ บางคนตลอดทั้งชีวิตนี้ไม่เคยรู้เลย แต่พอมาปฏิบัติก็เห็นเลย ใหม่ๆ ก็ทำใจไม่ได้ แต่ตอนหลังก็ยอมรับว่าเราก็เป็นปุถุชน อันนี้คือความจริงขั้นพื้นฐานที่ได้จากการปฏิบัติธรรม แต่ว่าเป็นความจริงที่ยังมีตัวมีตนอยู่ จนกระทั่งปฏิบัติจนเห็นว่าจริงๆ แล้วมันไม่มีเรา มันเหลือรูปกับนาม ตรงนี้จะช่วยลดทอนความทุกข์ได้ มันทำให้เกิดความสว่าง การปฏิบัติมาถึงตรงนี้จึงจะนับว่าเป็นวิปัสสนา ถ้าไม่ถึงตรงนี้มันก็ยังเป็นแค่สมถะ ซึ่งก็ยังมีประโยชน์ ฉะนั้นการภาวนา ก็ขอให้เข้าถึงความสงบ ไม่ใช่สงบเพราะตัดการรับรู้ แต่สงบเพราะรู้ทันความคิดและอารมณ์ แล้วก็ก้าวไปให้ถึงความสว่าง คือปัญญาที่เข้าใจความจริงของชีวิต หรือว่าความจริงเกี่ยวกับรูปและนาม
  • 3 พ.ย. 67 - ดูแลใจไม่ให้ทุกข์ : ถ้าเรารู้ว่าจิตปรุงแต่งในทางลบ เราก็ลองเปลี่ยนให้มันเป็นกลาง ๆ ดู หรือเปลี่ยนให้มันเป็นบวก อย่างคนที่เขามองได้ยินเสียงเลื่อยยนต์แล้วเขารู้สึกแย่ รู้สึกหงุดหงิดในทีแรก เพราะว่าไปให้ค่าว่าเป็นเสียงที่ไม่ดี เสียงรบกวน รบกวนการนั่งสมาธิ แต่พอไปให้ค่าให้ความหมายว่าเป็นเสียงเพลง เสียงนั้นไม่รบกวนจิตใจเขาอีกต่อไปเลย

    จะว่าไปแล้ว สุขหรือทุกข์มันอยู่ที่ใจเราแท้ ๆ ไม่ได้อยู่ที่สิ่งที่มากระทบกับเรา ไม่ได้อยู่ที่คนที่เกี่ยวข้องกับเรา ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเรา แต่มันอยู่ที่ว่าเรามองมันอย่างไร เรารู้สึกกับมันอย่างไร เรามีท่าทีกับมันอย่างไร และนี่คือสิ่งที่เราควรจะรู้ได้จากการที่เรามาเจริญสติ แล้วก็เห็นว่าอะไรคือเหตุแห่งทุกข์ที่แท้จริง ซึ่งที่สุดแล้ว เหตุแห่งทุกข์ก็อยู่ที่ใจเรา ถ้าเราเข้าใจตรงนี้ การที่จะแก้ทุกข์มันก็ไม่ใช่เรื่องยาก โดยเฉพาะความทุกข์ใจ
  • 2 พ.ย. 67 - ใจไม่ยึด ก็ไม่ทุกข์ : เคล็ดลับในการที่จะรับมือกับอารมณ์เหล่านี้ ก็คือ แค่ปล่อยวางมัน ไม่ยุ่งกับมัน อันนี้คือโอกาสสุดท้ายที่เราจะไม่ทุกข์

    แต่ถ้าเราทำได้คือ ตอนที่เกี่ยวข้องกับผู้คน สิ่งของ ถ้าเราไม่ยึดตั้งแต่แรก เมื่อมันผันผวนปรวนแปรไป อารมณ์ไม่ว่าจะเป็นเศร้า เสียใจ โกรธ ก็ไม่เกิด น้อยเนื้อต่ำใจ ก็ไม่เกิด แต่ถึงแม้มันเกิด ก็ยังมีโอกาสที่เราจะไม่ทุกข์ ถ้าเราไม่ไปเอนเกจกับมัน ไม่ไปยุ่งกับมัน ดูมันเฉยๆ อย่างที่ว่า รู้ซื่อๆ หรือที่ท่านเรียกว่า วางมัน ปล่อยมัน แล้วมันก็จะดับไปเอง ฉะนั้น การมีสติ มันช่วยตรงนี้แหละ ช่วยทำให้เราสามารถจะรับรู้อารมณ์เหล่านี้ แบบ รู้เฉยๆ รู้แล้วปล่อย รู้แล้ววาง หรือไม่ไปเอนเกจกับมัน
  • 1 พ.ย. 67 - เคล็ดลับแห่งความสุขของชีวิต : ไม่ว่าเราจะปฏิบัติหรือดำเนินชีวิตประจำวัน ก็ให้เราไม่เพียงแต่ ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง แต่ต้องมีสติเห็นใจด้วย ทำอะไร เกี่ยวข้องกับใคร กินอะไร เราต้องรับรู้อย่างถูกต้อง แต่ว่าไม่ลืมใจของเราตอนนั้นว่ามันเป็นอย่างไร ถ้าเราไปเพ่งแต่ข้างใน เราก็ไม่รับรู้โลกภายนอก แต่ถ้าเรามัวแต่ส่งจิตออกนอก เราก็ไม่เห็นใจ ไม่เห็นอารมณ์ที่เกิดขึ้น แล้วก็ปล่อยให้มันรบกวนจิตใจ

    เพราะฉะนั้น สิ่งที่ปราชญ์คนนั้นบอกว่า เคล็ดลับแห่งความสุขก็คือ การที่รู้จักมองสิ่งต่างๆ นอกตัว สิ่งสวยงาม แต่ก็อย่าลืมช้อนที่ถือในมือ อย่าให้น้ำมันมันหก อันนี้เป็นแง่คิดที่ดีมาก​ แต่ถ้าคนที่ไม่ปฏิบัติ บางทีก็เข้าใจยากว่ามันเป็นเคล็ดลับแห่งความสุขได้อย่างไร มันเป็นเคล็ดลับแห่งความสุขก็เพราะว่า มันทำให้เราสามารถจะรับรู้สิ่งดีๆ ที่มีอยู่รอบตัว หรือมีอยู่กับตัวเราได้ ในขณะเดียวกันก็ไม่หลงเพลิน เช่นเดียวกัน เมื่อเราเจอสิ่งที่แย่ ๆ เสียงดัง อากาศร้อน แต่ว่าถ้าเราดูใจ ดูแลรักษาใจให้ดี มันก็ไม่ทุกข์ เสียงดังกระทบหู แต่ว่าความหงุดหงิดไม่ครองใจ เพราะว่ารักษาใจไว้ได้ หรือเพราะมีสติ รู้ทันความคิดและอารมณ์ที่เกิดขึ้นกับใจ ฉะนั้น เจออะไร ไม่ว่าจะเป็นอิฏฐารมณ์ หรืออนิฏฐารมณ์ มันก็ไม่เผลอ ไม่พลั้ง เจออิฏฐารมณ์คือรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสที่น่าพอใจ ก็ไม่เพลิดเพลินยินดีจนลืมตัว เจออนิฏฐารมณ์ รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสที่ไม่ถูกใจ ก็ไม่ทุกข์ ยังเป็นปกติอยู่ได้
  • 31 ต.ค. 67 - รู้สึกตัวได้ไว ใจก็ทุกข์น้อยลง : ถ้าเรามาวัดแม้จะไม่ได้ฝึกในรูปแบบ ไม่ได้เดินจงกรม ไม่ได้สร้างจังหวะ แต่เวลาเราเดินไปที่ศาลาหน้าเพื่อกินข้าว หรือเวลาที่เรากินข้าว เราก็ทำอย่างมีสติเท่าที่เราจะทำได้ ใจมันลอยอยู่แล้ว แต่ว่าถ้าเราตั้งใจว่าจะให้รู้เนื้อรู้ตัวขณะที่กินข้าว ประเดี๋ยวมันก็นึกขึ้นมาได้ว่า เราตั้งใจอะไรไว้ มันก็จะกลับมา แล้วมันจะกลับมาเร็วขึ้น ๆ เรื่อย ๆ

    ทำอย่างนี้ทั้งวัน สติเราก็จะมีความคล่องแคล่วปราดเปรียวมากขึ้น แต่ว่ามันคงจะไม่ได้เห็นผลชัดเจนภายใน 1 วัน แต่ถ้าทำหลายวันก็จะเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับใจของเราเมื่อมีสติ ให้ทำด้วยความรู้สึกสบาย ๆ ไม่ต้องเคร่งเครียด ไม่ต้องคิดจะเอาชนะจิตด้วยการควบคุมไม่ให้มันคิด มันจะไปอย่างไรก็เราห้ามไม่ได้แต่ว่าเราจะฝึกให้มันกลับมา ถ้าเราฝึกให้กลับมาอยู่บ่อย ๆ ใจก็จะมีความรู้สึกตัวได้ไว พอเรารู้สึกจะได้ไว เราก็จะพบว่าความทุกข์นี่มันลดน้อยลง เพราะว่าพอรู้สึกตัวได้ไวการที่มันจะจมเข้าไปในความคิด ถลำเข้าไปในอารมณ์ก็จะน้อยลง และทุกข์เพราะความคิดมันก็จะน้อยลงไปเรื่อย ๆ หรือว่าทำให้เราสามารถที่จะรับมือกับอารมณ์ต่าง ๆ ได้ ถ้าเราเข้าใจคุณค่าของสติ ความรู้สึกตัว และรู้หลักในการปฏิบัติ มันก็จะไม่ใช่เรื่องยาก
  • 30 ต.ค. 67 - เยียวยาใจด้วยสติ (เย็น) : คนเราเวลามีความทุกข์จากเหตุการณ์ในอดีต การที่จะย้อนกลับไปในเหตุการณ์ในอดีต ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เปล่าประโยชน์อย่างที่หลายคนบอกว่า ย้อนกลับไปทำไม มันผ่านไปแล้ว ลืมไปเถอะ การลืมมันไม่ช่วยเพราะอย่างไรก็ไม่ลืม แต่ว่าพอกลับไปมองมันในมุมใหม่ มันหลุดได้ อันนี้ก็ถือว่าเป็นกุศโลบายอย่างหนึ่งของแจ็ค ซึ่งเขาก็เป็นอาจารย์กรรมฐานที่เข้าใจ แล้วที่น่าสนใจอย่างหนึ่งก็คือ เขาไม่เคยแนะนำสั่งสอนเลยว่า พอลล่าควรจะวางใจอย่างไร เขามีแต่ถามว่า เธอรู้สึกอย่างไร เธอเป็นมานานแค่ไหน แล้วที่เขาช่วยพอลล่าได้ คือให้พอลล่าลองเป็นพ่อดู แล้วรู้สึกอย่างไร รู้ไหมว่าตอนนั้นพอลล่า ลูกสาวของคุณเขายืนอยู่ข้างบน เขามองคุณอยู่

    มีแต่คำถาม แต่เป็นคำถามที่พาให้พอลล่าได้พบคำตอบ แล้วเห็นทางออกจากความทุกข์ได้ บ่อยครั้งเราคิดว่าจะต้องสอน ต้องชี้แนะ แต่บางทีเพียงแค่ตั้งคำถามที่ดี ตั้งคำถามถูก ตั้งคำถามเป็น ก็สามารถช่วยปลดล็อกคนที่เขามีความทุกข์ได้ นี่เป็นเรื่องที่หลายคนสามารถจะนำมาใช้กับตัวเองได้ การย้อนกลับไปมองถึงความเจ็บปวดในอดีต ถ้ามองเป็น มองถูก ย่อมมีโยนิโสมนสิการ ก็ช่วยทำให้หลุดจากทุกข์ได้ แต่ทั้งหมดนี้ก็ต้องมีสติเป็นตัวกำกับ ถ้าไม่มีสติเป็นตัวกำกับแล้ว มันก็ตกร่องเดิม โบยตีตัวเอง เกลียดชังตัวเอง หรือโกรธคนนั้นคนนี้ ยิ่งรักก็ยิ่งโกรธ เพราะว่าคนที่ตัวเองรัก เขาไม่ใส่ใจเราเลย หรือว่าเขาไม่เป็นไปอย่างที่เราคิด แต่พอมองกลับไป เห็นว่าเขามีเหตุผลที่เขาไม่ทำอย่างที่เราคิด แล้วที่เราคิดก็ไม่ใช่ว่าถูกต้องเสมอไป
  • 29 ต.ค. 67 - จะทำอะไรอย่าลืมเตรียมใจ : ชีวิตของคนเราโดยสรุปทั่วไปมันก็เป็นแบบนี้ มันมีอารมณ์เกิดขึ้น แล้วก็ไหลไปตามอารมณ์ สุดแท้แต่ว่าจะมีสิ่งเร้าสิ่งกระทบอะไร แต่ถ้าเกิดว่าเราเจริญสติ เริ่มจากการมารู้กาย แล้วก็รู้ความคิด ต่อไปมันก็จะรู้ทันอารมณ์ ไม่ปล่อยให้อารมณ์มาครอบงำใจเรา มันก็ทำให้เราเริ่มจะเป็นอิสระจากสิ่งเร้า สิ่งกระทบ

    ไม่ใช่ว่าพอมีรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ที่ไม่น่าพอใจก็หงุดหงิด หัวเสียโมโห พอเจอใครทำอะไรถูกใจ กินอาหารที่ถูกใจ ก็อารมณ์ดีขึ้นมาทันที จิตใจผู้คนมันก็เป็นอย่างนี้สุดแท้แต่สิ่งเร้า ไม่สามารถที่จะเป็นตัวของตัวเองเป็นอิสระจากสิ่งเร้าได้ จนกว่าจะมีสติรู้ทันอารมณ์ที่เกิดขึ้น สิ่งเร้าก็มาครอบงำใจ มาผลักไสใจให้ทุกข์ไม่ได้
  • 28 ต.ค. 67 - ธรรมแก้ทุกข์ได้ถ้าทำถูกต้อง : ธรรมะนี้แม้จะแก้ทุกข์ได้ แต่ถ้าหากว่าปฏิบัติไม่ถูก มันก็ทำให้ทุกข์มากขึ้น ถึงขั้นอยากจะฆ่าตัวตายก็มี ถึงขั้นอยากจะสึกหาลาเพศ บอกไม่ไหวแล้ว หรือบางทีก็ถูกอกุศลจิตอกุศลธรรมฉุดลงอบายก็มี ทั้งหมดนี้ก็เพราะความยึดมั่นถือมั่นในธรรมะ หรือพูดอย่างง่าย ๆ คือประพฤติธรรมไม่ถูกต้อง มีคำพูดว่า “ธรรมที่ประพฤติดีแล้ว นำสุขมาให้” ความหมายตรงข้ามกับ “ธรรมที่ประพฤติไม่ถูกต้อง นำทุกข์มาให้” อันนี้ก็เป็นข้อที่ควรระวัง ถึงแม้ว่าธรรมะนี้จะช่วยแก้ทุกข์ได้ แต่ถ้าปฏิบัติไม่ถูกต้องมันก็เพิ่มทุกข์เหลือประมาณเลยทีเดียว

    ก็เหมือนกับการทำอะไรก็ตามแม้จะดี แต่ต้องทำให้ถูกต้อง ถ้าทำไม่ถูกต้องอาจจะเกิดผลเสียได้ เหมือนกับขับรถ รถพาเราไปถึงเป้าหมาย แต่ถ้าขับไม่ถูกต้องมันก็อันตรายมาก อาจจะทำร้ายชีวิตคน หรือว่าทำให้ตัวเองเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตได้ เพราะฉะนั้นธรรมะแม้ว่าจะพาให้เกิดสุข แล้วก็ช่วยแก้ทุกข์ ก็ต้องตระหนักว่าต้องทำให้ถูกต้อง ถ้าทำไม่ถูกต้อง มันเกิดความเสียหายมาก
  • 23 ต.ค. 67 - เกิดมาเพื่อใช้กรรมจริงหรือ : ถ้าเราเข้าใจเรื่องกรรมอย่างถูกต้อง นอกจากเราจะประพฤติตน ฝึกฝนตนให้มีความเจริญงอกงามในทางธรรม สร้างบุญสร้างกุศลแล้ว เราจะเอื้อเฟื้อเกื้อกูลผู้อื่นได้มากขึ้น เพราะเราเชื่อว่า เป็นหน้าที่ เป็นธรรมะอย่างหนึ่ง และต่อไปเราจะเห็นคุณค่าของการไม่ใช่แค่ทำดีด้วยศีล แต่เราจะฝึกใจให้มีความสงบ รู้จักปล่อย รู้จักวาง และเข้าใจความจริงของชีวิต

    จนถึงจุดหนึ่ง เราจะพบว่าความทุกข์ที่แท้อยู่ที่ใจ อะไรเกิดขึ้นกับเราไม่ได้ทำให้เราทุกข์เสมอไปถ้าเราวางใจได้ถูก เจ็บป่วยก็ป่วยแต่กาย ใจไม่ป่วย ถ้ามาถึงจุดนี้ เราจะเกี่ยวข้องกับกรรมในทางที่สร้างสรรค์ เวลาที่พูดคำว่า ใช้กรรม ความหมายที่เราเข้าใจคือ ชดใช้กรรม แต่ ใช้ มีอีกความหมายหนึ่ง คือใช้ประโยชน์ เวลาเจ็บป่วยเราบอกว่า เกิดมาเพื่อใช้กรรม แต่ถ้าเราเข้าใจเรื่องกรรมและปฏิบัติตัวอย่างถูกต้อง เราจะใช้ความทุกข์ ความเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นกับเราให้เป็นประโยชน์ เราต้องก้าวข้ามจากความเชื่อว่าเกิดมาเพื่อใช้กรรมในความหมายที่เป็นการชดใช้ มาเป็นการรู้จักใช้กรรมที่เกิดขึ้นหรือความทุกข์ที่เกิดขึ้นให้เป็นประโยชน์ และความทุกข์ ไม่ว่าจะเกิดเพราะกรรมเก่าหรือไม่ มันเป็นประโยชน์กับเราได้
  • 18 ต.ค. 67 - ควรได้ประโยชน์จากการมาวัด : เวลาเจอโลกธรรมฝ่ายบวก ได้ลาภ ได้ยศ ได้คำชม ได้คำสรรเสริญ จิตใจก็ไม่เคลิบเคลิ้มหวั่นไหวไหลหลง ไม่กระเพื่อม เวลาเสื่อมลาภ เสื่อมยศ ถูกต่อว่าด่าทอ สูญเสียของรัก สิ่งรัก จิตใจก็ไม่เศร้าโศก เราจะรู้เลยว่า อันนี้คือสภาวะของจิตที่พึงปรารถนา และนี่คือสภาวะของชีวิต ที่เราควรไปให้ถึง

    อย่างที่เราเพิ่งสวดเมื่อสักครู่ มงคลสูตร 38 มีตอนท้ายบอกว่า จิตของผู้ใด เมื่อโลกธรรมถูกต้องแล้ว ย่อมไม่หวั่นไหว ไม่เศร้าโศก ไร้ธุลีกิเลส เป็นจิตเกษมสานต์ พูดง่ายๆ ก็คือว่า ไม่ว่ามีอะไรมากระทบ บวกหรือลบ จิตก็ไม่หวั่นไหว ใจก็ไม่กระเพื่อม เป็นปกติอยู่ได้ ตรงนี้แหละที่จะทำให้เราเห็นคุณค่าของสติมากขึ้น เห็นคุณค่าของปัญญามากขึ้น เพราะว่าเมื่อมีสติ จิตเราจึงจะเป็นปกติ เมื่อมีปัญญา เราจึงเข้าใจว่า มันไม่มีอะไรที่ยึดมั่นถือมั่นได้ ได้กับเสียเป็นของคู่กัน เจอกับจากเป็นของคู่กัน พบกับพรากเป็นของคู่กัน ใครชม เราก็ไม่ปลื้ม เมื่อเราไม่ปลื้มเวลาคนชม เวลาใครด่า เราก็ไม่หวั่นไหว ไม่โกรธ เราจะเห็นว่า จุดมุ่งหมายของชีวิต ควรจะไปให้ถึงจุดนี้ และนี่คือประโยชน์ที่เราจะได้จากการเป็นชาวพุทธ เพราะฉะนั้นเวลามาที่วัดป่าสุคะโต ให้ลองนึกถึงประโยชน์ที่เราควรจะได้​ และถ้าเราสามารถได้รับประโยชน์จากการปฏิบัติในขณะที่มาสุคะโต ก็จะช่วยทำให้เราได้รับประโยชน์สูงสุดจากการเป็นชาวพุทธ ไม่ใช่แค่มาทำบุญให้ทานเท่านั้น
  • 17 ต.ค. 67 - ทุกประสบการณ์เป็นบทเรียนให้เรา : มีความผิดพลาดอะไร ที่เราได้ทำ มีความบกพร่องตรงไหน ก็ควรจะมองเห็น รับรู้ยอมรับ แม้ว่าตัวมานะหรืออัตตาเราจะไม่อยากยอมรับ แต่ถ้าเราเห็น แล้วก็ยอมรับมัน มันก็เอามาเป็นบทเรียนได้ เอามาเป็นเครื่องเตือนใจเราได้​ อย่างที่หลวงพ่อคำเขียนชอบพูดอยู่เสมอ คนเรามันต้องผิดก่อน มันถึงจะถูกได้ เราต้องโง่ก่อน จึงจะฉลาด

    ถ้าหากว่าเราเคยทำผิดทำพลาด มันก็เป็นเรื่องธรรมดา เอามาเป็นบทเรียนเตือนใจ ให้เราทำถูก อะไรที่เราหลงก็เอามาเป็นบทเรียน เพื่อให้เราทำให้เกิดรู้ขึ้นมา ความโง่ของเราก็เอามาเป็นเครื่องเตือนใจให้ฉลาด อันนี้ก็ทำให้วันเข้าพรรษา และการปฏิบัติของเรามีคุณค่า เพราะว่าทุกอย่างมีประโยชน์ทั้งนั้น ไม่ว่าสิ่งดี ๆ ที่เราทำ หรือว่าสิ่งบกพร่องที่เราได้เผลอทำ มันก็มีคุณค่าต่อการพัฒนาชีวิตของเราให้เจริญงอกงาม
  • 16 ต.ค. 67 - ชีวิตไปต่อได้ ถ้ารู้จักหยุด : ทุกวันนี้เราคิดถึงเรื่องการไปข้างหน้า แต่เราไม่ค่อยเห็นคุณค่าของการหยุดการชะลอเท่าไหร่ ถ้าเรารู้จักพอ เราก็จะหยุด เราก็จะชะลอได้ หรือถ้าเรารู้จักยอมรับความสูญเสีย เงินที่สูญเสียไปจากการพนันก็ดี จากการเล่นหุ้นก็ดี หรือจากน้ำท่วมก็ดี หรือว่าจากธุรกิจที่ขาดทุนก็ดี

    ถ้าเรารู้จักหยุด มันก็ไม่ผลักให้เราสร้างปัญหากับตัวเอง เพราะว่าแมงเม่าจำนวนมาก เวลาเขาสูญเสียเงินแล้วเขาทำใจไม่ได้ เขาก็พยายามหาทางที่จะเอาเงินคืน หรือแก้คืนให้ได้ แต่สุดท้ายก็ยิ่งสูญเสียมากขึ้น การหยุดอาจจะไม่ได้ทำให้เราได้ของที่เสียไปคืน แต่ทำให้เราไม่สูญเสียมากไปกว่านั้น เช่น เวลาเงินหาย ถ้าเราไม่รู้จักหยุดเศร้าโศก ไม่รู้จักหยุดครุ่นคิดถึงมัน เราจะไม่ได้เสียแต่ทรัพย์ เราก็จะเสียสุขภาพ เสียความสุข เสียสุขภาพจิต และเสียอีกหลายอย่าง ถ้าเรารู้จักยอมรับความสูญเสียที่เกิดขึ้น เราก็จะเสียแค่หนึ่ง เราจะไม่เสียสองเสียสาม เพราะว่าเรายอมรับได้ ยอมรับความสูญเสีย หรือรู้จักหยุด
  • 15 ต.ค. 67 - ฝึกใจให้มั่นคงเหมือนหินผา : ถ้าเราไม่มีความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆ เมื่อสิ่งนั้นมันแปรเปลี่ยนไป เงินทองถูกลักขโมย ร่างกายเกิดเจ็บป่วย หรือว่าเกิดแก่ชรา หรือคนรักล้มหายตายจากไป เราก็ไม่ทุกข์ หลายคนไปคิดว่าทุกข์เพราะเงินหาย ทุกข์เพราะเจ็บป่วย ทุกข์เพราะคนรักตายจากไป ที่จริงไม่ใช่ ที่มันทุกข์เพราะไปยึดว่าสิ่งเหล่านั้น คนเหล่านั้นว่าเที่ยง ว่าเป็นของเรา อันนี้เรียกว่าไม่รู้ความจริง เป็นความหลงชนิดหนึ่ง ซึ่งจะแก้ได้ก็ต้องมีปัญญา ปัญญาทำให้รู้ความจริง

    ส่วนความหลงอีกอย่างหนึ่งคือไม่รู้ตัว ก็เลยไปยึดเอาอารมณ์ที่มันเป็นลบ อย่างที่เปรียบเทียบว่าไปหยิบเอาเศษแก้วเศษตะปูมาทิ่มแทงตัวเอง ไปหยิบเอาขยะมาสุมกองในบ้านตัวเอง นี้เรียกว่าไม่รู้ตัว ขาดสติ ถ้าเรารู้ตัวมีสติ ถ้าเรารู้ความจริงเพราะมีปัญญา อะไรเลวร้ายเกิดขึ้นกับเรา กับร่างกายของเรา กับทรัพย์สินของเรา กับคนรักของเรา มันก็ไม่ทุกข์ แม้กระทั่งคำว่าของเรา สุดท้ายมันก็ไม่มี ก็รู้ว่ามันไม่ใช่ของเราเลย เพราะฉะนั้นแม้จะมีโลกธรรรมฝ่ายลบเกิดขึ้น มีความสูญเสียพลัดพรากเกิดขึ้น จิตใจก็ยังเป็นปกติได้ นี้เรียกว่าเป็นสิ่งที่ช่วยทำให้ใจมั่นคงเข้มแข็งเหมือนกับหินผาที่คลื่นจะซัดสาดยังไง หินผาก็ยังสงบนิ่ง ไม่ขยับเขยื้อน มีแต่คลื่นที่แตกกระจายไป เพราะฉะนั้นถ้าเราฝึกใจแบบนี้ มันจะช่วยลดความทุกข์ไปได้เยอะ มีทุกข์กายก็จริงแต่ใจไม่ทุกข์ เสียทรัพย์แต่ว่าใจไม่เสีย แล้วมันทำให้เราสามารถจะเข้าถึงสิ่งที่ทางพุทธศาสนาเรียกว่า เป็นมงคลสูงสุด คือเมื่อโลกธรรมถูกต้องแล้ว จิตก็ไม่หวั่นไหวใจก็ไม่กระเพื่อม สงบนิ่งมั่นคงอยู่ได้