Avsnitt
-
Saknas det avsnitt?
-
พยายามศึกษาธรรมะ ศึกษาให้ดี อย่าศึกษาทางโซเชียลอย่างเดียว ธรรมะเพี้ยนๆ มากมายเหลือเกิน ถ่ายทอดกันออกไปเยอะแยะเลย สอนปริยัติเพี้ยนบ้าง สอนปฏิบัติเพี้ยนบ้าง บางทีพวกสอนปฏิบัติเพี้ยนก็น่ากลัว อันตรายกับคนที่เรียน คนสอนก็เป็นบ้า คนเรียนก็เป็นบ้าไปก็มี ไม่ใช่ไม่มี ปริยัติเพี้ยนนี่ยิ่งหนักใหญ่ พระไตรปิฎกเสียหายไป เกิดสัทธรรมปฏิรูป ปฏิบัติผิด ก็ผิดเฉพาะตัว ถ้าเอาไปสอนต่อก็ผิดต่อ แต่ปริยัติผิดแล้วเผยแพร่ออกไป คนทรงจำไว้ก็อันตราย คนยุคนี้ก็ไม่มีการศึกษาธรรมะ ก็งมงาย ใครเขาพูดอะไรหวือๆ หวาๆ ตื่นเต้น เชื่อถือ หลายเรื่อง พูดกันแล้วมันดูเท่ ดูทันสมัย ดูไม่งมงายอะไรอย่างนี้ แต่มันไม่ถูกธรรม ไม่ถูกวินัย ก็เผยแพร่กันเยอะ ต้องระมัดระวัง หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 1 กุมภาพันธ์ 2568
-
รู้ด้วยใจปกติเลย อย่าไปทำใจให้ผิดปกติ จิตใจปกติในการที่เราจะใช้ปฏิบัติธรรม จิตปกติของเราพระพุทธเจ้าท่านเรียกจิตเดิม จิตธรรมดาของเรานี่เอง มันประภัสสรอยู่แล้ว มันผ่องใส แต่มันเศร้าหมองเพราะกิเลสที่จรมา แค่อยากปฏิบัติมีโลภะเกิดขึ้น จิตก็ผิดปกติแล้ว เราจะใช้จิตใจของคนธรรมดานี่ล่ะ ปกติอย่างนี้ เรียนรู้กายเรียนรู้ใจ อย่างร่างกายเราหายใจออกรู้สึก หายใจเข้ารู้สึก รู้ด้วยจิตปกติ ไม่ต้องวางฟอร์มเป็นนักปฏิบัติ ต้องไม่เหมือนคนธรรมดาอะไร นี่เข้าใจผิดอย่างยิ่งเลย เสียเวลา อย่างขณะนี้ร่างกายเรานั่งอยู่ ยากไหมที่จะรู้ว่าตอนนี้นั่งอยู่ ไม่เห็นยากเลย ตอนนี้ขยับส่ายหัวอย่างนี้ ส่ายหน้า รู้สึก รู้สึกด้วยใจปกติใจธรรมดา ฉะนั้นมันจะไม่ใช่เรื่องยาก ที่ยากเพราะเรามีความเห็นที่ว่าการปฏิบัติต้องอย่างนี้ ต้องอย่างนี้ อย่างนี้ถูก อย่างนี้ไม่ถูก สิ่งเหล่านี้เขาเรียกว่าสีลัพพตปรามาส หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 26 มกราคม 2568
-
จิตมันก็ทำงานไปตามธรรมชาติ แล้วมันก็ปรุงสุข ปรุงทุกข์ ปรุงดี ปรุงชั่ว ไปตามเรื่องของมัน หน้าที่เราคืออ่านจิตใจตัวเองให้ออก การดูจิต เราไม่ได้ดูเพื่อละกิเลส เพราะถ้าเมื่อไรมีสติ รู้ทันจิตใจตัวเอง มันไม่มีกิเลสจะให้ละ เพราะฉะนั้นเราเจอกิเลส เรื่องเล็กมากเลย มีสติรู้ปุ๊บ กิเลสดับเองเลย ไม่ต้องหาทางละกิเลส หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 25 มกราคม 2568
-
ที่เรามาภาวนาไม่ใช่เพื่อจะเหนือธรรมดา แต่เราภาวนาเพื่อให้จิตใจมันเห็นความจริงซ้ำแล้วซ้ำอีก ความจริงในร่างกาย ความจริงในจิตใจ พอเห็นความจริงจนกระทั่งมันยอมรับว่าธรรมดาเป็นอย่างนี้ล่ะ ธรรมดาต้องแก่ พอแก่เราก็ยอมรับได้ เราไม่ทุกข์ ธรรมดาต้องเจ็บต้องป่วย ยอมรับได้ เจ็บป่วยขึ้นมาเราก็ไม่ทุกข์ ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ธรรมดาจะต้องตาย ถ้าจะตายเราก็ไม่ทุกข์ ถือว่าธรรมดา ในด้านจิตใจ เราก็ประสบกับอารมณ์ที่พอใจบ้างไม่พอใจบ้าง ก็เป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่ว่าเราจะเจอแต่อารมณ์ที่ถูกใจอย่างเดียว อารมณ์ที่ไม่ถูกใจเราก็ต้องเจอ ถ้าใจเรายอมรับความจริงได้ เวลากระทบอารมณ์ จิตมันจะค่อยเป็นกลาง กระทบอารมณ์แล้วก็สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่าได้กลิ่น ได้รส ได้สัมผัส ใจมันยอมรับได้ เสียงมากระทบหู จะเสียงชมหรือเสียงด่า มันก็แค่เสียงเหมือนกัน มาแล้วมันก็ไป เราพยายามฝึกกรรมฐานไม่ได้ฝึกเพื่อจะอยู่เหนือธรรมดา แต่ฝึกเพื่อให้ยอมรับธรรมดา หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 19 มกราคม 2568
-
ต้องสำรวจใจของเราเองบ่อยๆ ถ้าเราอ่านใจตัวเองออก สังเกตบ่อยๆ แล้วสติ สมาธิ ปัญญาของเราจะดีขึ้น หัดอ่านใจตัวเองไว้ ใจเราขณะนี้เป็นกุศลหรืออกุศล ไม่ต้องสนใจที่อื่นหรอก สนใจใจของเราเอง ถ้าเราคอยสังเกตใจของเรา ใจเป็นอกุศลก็รู้ ใจเป็นกุศลก็รู้ สังเกตไปเรื่อยๆ มันโลภขึ้นมาก็รู้ มันโกรธขึ้นมาก็รู้ มันหลงขึ้นมาก็รู้ รับรองว่าพัฒนาแน่นอน ถ้าสังเกตอย่างนี้ เพราะการที่เราคอยสังเกตจิตใจของเราเองว่ามีอกุศลไหม เป็นกุศลหรือยัง คอยสังเกตไป มันคือการเจริญสัมมาวายามะ ถ้าสัมมาวายามะเราทำให้มากเจริญให้มาก จะทำให้สัมมาสติบริบูรณ์ สัมมาสติเมื่อทำให้มากเจริญให้มาก จะทำให้สัมมาสมาธิบริบูรณ์ สัมมาสมาธิเมื่อทำให้มากเจริญให้มาก ก็จะทำให้การเจริญปัญญาสมบูรณ์ขึ้นมา มีสัมมาญาณะ มีสัมมาวิมุตติ เกิดมรรคเกิดผลขึ้นมา หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 18 มกราคม 2568
-
เป็นชาวพุทธต้องมีเหตุผล คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นเรื่องเหตุเรื่องผลทั้งนั้น ถ้าเราไม่รู้จักเหตุผลก็งมงาย อาศัยศรัทธางมงายไปวันๆ หนึ่ง ยิ่งไม่ได้ศึกษา ก็โดนคนอื่นเขาต้มเอา มาบอกอะไรเรา เราก็เชื่อ อันนี้คิดว่าเป็นธรรมะ จริงๆ บางทีก็ไม่ใช่ บางทีก็เป็นเรื่องเขาก็คิดเอาเอง พูดเอาเอง คำสอนของพระพุทธเจ้า ของพระสาวก ก็เป็นเรื่องของเหตุกับผล ผลอันนี้เกิดจากเหตุอย่างนี้ เหตุอย่างนี้ส่งผลให้มีผลอย่างนี้ เป็นเรื่องเหตุเรื่องผล เราอยากมีความสุขก็ต้องทำเหตุของความสุข ต้องละเหตุของความทุกข์ เราอยากพ้นทุกข์ เราต้องดู ความทุกข์เกิดจากอะไร แล้วไปละที่เหตุ ระหว่างเรื่องเหตุกับผล เวลาละละที่เหตุไม่ใช่ละที่ผล คนส่วนใหญ่จะไปหลงวุ่นวายอยู่กับตัวผล ไม่ได้สนใจที่ตัวเหตุ หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 12 มกราคม 2568
-
พยายามฝึกการปฏิบัติอย่าเว้นวรรค ฝึกตั้งแต่ตื่นจนหลับ ฝึกไปเรื่อยๆ มีสติรู้กายรู้ใจอย่างที่มันเป็นไปเรื่อยๆ ดูกายมันทำงาน ดูใจมันทำงาน อย่างตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบอารมณ์ปุ๊บ เกิดสุข เกิดทุกข์ เกิดกุศลอกุศล รู้ทัน อันนี้แบบหนึ่ง อีกแบบหนึ่งก็คือตาหลงไปดูรูป รู้ทันตา หลงไปฟังเสียง หลงไปดมกลิ่น หลงไปลิ้มรส หลงไปรู้สัมผัสทางกาย รู้ทัน ใจเราหลงไปคิด รู้ทัน นี่รู้พฤติกรรมของจิตที่เกิดดับทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ฉะนั้นจะดูจิตสุข จิตทุกข์ จิตดี จิตชั่ว อันนี้จิตเกิดร่วมกับเจตสิก อย่างนี้ก็ได้ จะดูจิตที่เกิดดับทางทวารทั้ง 6 ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ได้ แล้วก็เห็นไตรลักษณ์เหมือนกัน หัดรู้หัดดูไปเรื่อยๆ แล้วเราก็จะได้ของดี อย่าเว้นวรรค มีเวลาเมื่อไรปฏิบัติทันที ไม่เอาเวลาไปนั่งเล่นอินเทอร์เน็ต นั่งคุยตลอดเวลา ฟุ้งซ่าน ไม่ได้เรื่องหรอก หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 11 มกราคม 2568
-
เราทำอะไรเราก็จะได้ผลอย่างนั้น เราก็พยายาม ไหนๆ เราก็เจอศาสนาพุทธแล้ว ก็มาสร้างคุณงามความดีให้ตัวเอง ทำทานให้เป็น ถือศีลให้เป็น ทำสมาธิให้เป็น เจริญปัญญาให้เป็น สะสมไป ถ้าบุญวาสนาบารมีพอ เราก็จะบรรลุมรรคผลในชีวิตนี้ ถ้าไม่พอ ชาติหน้าจะภาวนาง่ายกว่านี้ เพราะจิตมันคุ้นเคยกับการปฏิบัติแล้ว อย่างจิตมันคุ้นเคยกับการถือศีลอย่างนี้ มันก็ถือศีลง่าย จิตมันคุ้นเคยการทำทาน มันก็ทำทานได้ง่าย จิตมันเคยฝึกสมาธิ มันก็ทำสมาธิง่าย จิตมันเคยเดินวิปัสสนา มันก็เกิดวิปัสสนาญาณง่าย ของฟรีไม่มี ทั้งหมดอยู่ในกฎแห่งกรรม คนที่เขาง่ายนี่เพราะเขาทำมาก่อนแล้ว เขาลำบากมาแล้ว ของเราถ้ามันรู้สึกยังไม่ง่ายก็อดทน ไม่ใช่มันยากเกินไปแล้วไม่ทำ หลวงปู่ปราโมทย์ ปาโมชฺโช วัดสวนสันติธรรม 5 มกราคม 2568
- Visa fler