Avsnitt

  • 1. เตรียมควักกระเป๋า! ไต้หวันขึ้นค่าไฟเฉลี่ย 11%  คาดฉุดราคาสินค้าขึ้นตาม รัฐแจงแม้จะปรับแพงขึ้น แต่ค่าไฟไต้หวันยังถูกกว่าประเทศอุตสาหกรรมอื่น ๆ

              ช่วงนี้มีเรื่องที่ทำให้ชาวไต้หวันผวาแกมไม่พอใจประเด็นหนึ่ง นั่นคือรัฐบาลประกาศปรับค่าไฟแพงขึ้นถ้วนหน้าเฉลี่ย 11% แม้แต่ผู้ใช้ไฟในปริมาณต่ำกว่า 500 หน่วยต่อเดือน ซึ่งได้รับการยกเว้นปรับมานานกว่า 16 ปี คราวนี้ก็ไม่รอด และที่สำคัญการขึ้นค่าไฟครั้งนี้ ปรับขึ้นในอัตราค่อนข้างสูง ทำให้ครอบครัวทั่วไปมีรายจ่ายเพิ่มขึ้น ไม่เพียงแต่ค่าไฟที่ปัจจุบันเฉลี่ยหน่วยละ 2.61 เหรียญ หลังปรับค่าไฟใน 1 เม.ย. เป็นต้นไปเฉลี่ย 2.65 เหรียญ ภาคอุตสาหกรรมที่ค่าไฟปัจจุบันเฉลี่ยหน่วยละ 2.91 เหรียญ หลังปรับเพิ่มเป็น 3.38 เหรียญ

    การไฟฟ้าไต้หวันจ่อขึ้นค่าไฟ ทาวน์เฮ้าส์ 3 ชั้นหลังหนึ่งในกรุงไทเป ติดแอร์ถึง 23 ตัว คาดน่าจะกั้นเป็นห้องให้เช่า กลายเป็นจุดสะดุดตาผู้คนที่เดินผ่านไปมา (ภาพจาก EBC News)

              กระทรวงเศรษฐการไต้หวัน อนุมัติให้ขึ้นค่าไฟฟ้าถ้วนหน้า ทั้งภาคครัวเรือน ร้านค้าและอุตสาหกรรมทุกสาขาอาชีพ ตั้งแต่ 3-25% ขึ้นอยู่กับปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ใช้ เฉลี่ยปรับแพงขึ้น 11% มีผลตั้งแต่ 1 เมษายน หรือวันเมษาหน้าโง่นี้เป็นต้นไป เหตุผลที่ต้องขึ้นค่าไฟ บริษัทการไฟฟ้าไต้หวัน (Tai Power) กล่าวว่า สืบเนื่องจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำต้นทุนเชื้อเพลิงพุ่งขึ้นหลายเท่าตัว โดยเฉพาะก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ซึ่งเป็นพลังงานหลักที่ไต้หวันต้องพึ่งพาการนำเข้าอย่างเดียวและใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าในสัดส่วนสูงถึง 50% ทำให้บริษัทการไฟฟ้าไต้หวัน (Tai Power) เฉพาะช่วง 2 ปีมานี้ ขาดทุนกว่า 500,000 ล้านเหรียญไต้หวัน มากกว่าทุนจดทะเบียนบริษัทเสียอีก นี่ถ้าเป็นบริษัทเอกชนทั่วไปล้มละลายไปนานแล้ว แม้ว่ารัฐบาลจะสนับสนุนงบประมาณปีละ 100,000 ล้านเหรียญ แต่ก็ไม่สามารถชะลอความเร็วในการขาดทุนของบริษัทได้ จึงจำเป็นต้องขึ้นค่าไฟทั่วไต้หวันถ้วนหน้า สำหรับที่อยู่อาศัยปรับขึ้นค่าไฟตามปริมาณการใช้ไฟฟ้าดังนี้

               ปริมาณไฟฟ้าที่ใช้ไม่เกิน 330 หน่วย/เดือน ปัจจุบันหน่วยละ 2.10 เหรียญ ปรับขึ้นเป็นหน่วยละ 2.16 เหรียญ ปรับขึ้น 3%

              ปริมาณไฟฟ้าที่ใช้ 331-500 หน่วย/เดือน ปัจจุบันหน่วยละ 2.89 เหรียญ ปรับขึ้นเป็นหน่วยละ 3.03 เหรียญ ปรับขึ้น 5%

               ปริมาณไฟฟ้าที่ใช้ 501-700 หน่วย/เดือน ปัจจุบันหน่วยละ 3.94 เหรียญ ปรับขึ้นเป็นหน่วยละ 4.14 เหรียญ ปรับขึ้น 7%

               ปริมาณไฟฟ้าที่ใช้ 701-1,000 หน่วย/เดือน ปัจจุบันหน่วยละ 4.74 เหรียญ ปรับขึ้นเป็นหน่วยละ 5.07 เหรียญ ปรับขึ้น 7%

               ปริมาณไฟฟ้าที่ใช้ 1,001 หน่วย/เดือนขึ้นไป ปัจจุบันหน่วยละ 6.03 เหรียญ ปรับขึ้นเป็นหน่วยละ 6.63 เหรียญ ปรับขึ้น 10%

    หน้าร้อนในไต้หวันอากาศร้อนมาก เครื่องปรับอากาศเป็นสิ่งจำเป็น ในภาพเป็นอาคารหลังหนึ่งที่ติดแอร์คล้ายเป็นตุ่มขึ้นเต็มผนังตึก (ภาพจาก TVBS)

              สำหรับโรงงานอุตสาหกรรมและธุรกิจที่ใช้ไฟในปริมาณมาก ค่าไฟปรับขึ้นตามปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ใช้ ในจำนวนนี้ มีร้านค้า ธุรกิจโรงแรม และธุรกิจให้บริการอื่น ๆ รวมถึงโรงงานอุตสาหกรรม 440,000 ราย ปรับขึ้นค่าไฟในอัตราส่วนไม่เกิน 14% และมีโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ปรับขึ้น 15% ขึ้นไป สูงสุดปรับขึ้น 25% โรงงานอุตสาหกรรมที่ใช้ปริมาณไฟฟ้ามากที่สุดในไต้หวัน ได้แก่อุตสาหกรรมผลิตชิปหรือเซมิคอนดักเตอร์ อย่างบริษัท TSMC ผู้ผลิตชิปอันดับหนึ่งของโลก ในปี 2565 บริษัทนี้ใช้ไฟ 21,000 ล้านหน่วย ครองสัดส่วนการใช้ไฟ 7.5% ของไต้หวัน หรือเท่ากับปริมาณการใช้ไฟฟ้าของชาวไต้หวัน 5 ล้านครัวเรือนใน 1 ปีเต็ม ๆ บริษัทนี้จ่ายค่าไฟแพงขึ้น 25% เฉพาะค่าไฟตกปีละกว่า 70,000 ล้านเหรียญ หลังปรับขึ้นค่าไฟ ต้องจ่ายเพิ่มปีละกว่า 17,000 ล้านเหรียญ แต่เนื่องจากเป็นผู้ผลิตที่ทันสมัยที่สุดหนึ่งเดียวของโลก สามารถบวกต้นทุนค่าไฟให้ลูกค้าซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ต่าง ๆ ของโลกได้ แต่ร้านค้าและธุรกิจทั่วไป ลูกค้าคือประชาชนทั่วไป จึงคาดว่า ค่าไฟแพง ราคาสินค้า ตลอดจนค่าเช่าบ้าน ค่าห้องพักในโรงแรม รวมถึงค่าโดยสารระบบขนส่งมวลชน จะแพงตามไปด้วย

    ขึ้นค่าไฟ คาดฉุดราคาสินค้าขึ้นตาม (ภาพจาก tw.news.yahoo.com)

              การปรับขึ้นค่าไฟครั้งนี้ ซึ่งรวมครัวเรือนที่ใช้ไฟฟ้าต่ำกว่า 300 หน่วย/เดือนที่อดีตตรึงราคาไว้นานถึง 16 ปีด้วย ส่งผลให้ชาวไต้หวัน 13.4 ล้านครัวเรือนต้องจ่ายค่าไฟแพงขึ้น ไหนจะมีการปรับขึ้นค่าไฟในช่วงหน้าร้อนอีกเป็นกรณีพิเศษอีก อย่างไรก็ตาม เมื่อวันศุกร์ที่ 29 มีนาคมที่ผ่านมา พรรคฝ่ายค้านเชิญผู้บริหารการไฟฟ้าไต้หวันไปรายงานต้นทุนด้านการบริหารจัดการที่สภานิติบัญญัติ และมีมติพักประเด็นการอภิปรายขึ้นค่าไฟไว้ 1 เดือนค่อยมาว่ากัน ก็ต้องจับตาดูกันต่อไปว่า การไฟฟ้าไต้หวันจะขึ้นค่าไฟตามที่ประกาศในวันที่ 1 เมษายนต่อไปหรือไม่

    การไฟฟ้าไต้หวันขาดทุนหนัก ประกาศขึ้นค่าไฟเฉลี่ย 11% ตั้งแต่ 1 เมษายนนี้เป็นต้นไป (ภาพจาก udn.com)

              เกี่ยวกับเรื่องราคาสินค้าที่เตรียมขยับขึ้น หรือบางรายการปรับขึ้นไปแล้ว นางหวางเหม่ยฮัว รมว. กระทรวงเศรษฐการออกมาชี้แจงและเตือนว่า ค่าไฟปรับก็จริง แต่ผู้ประกอบการไม่ควรขึ้นราคาสินค้าหรือบริการโดยอ้างว่าค่าไฟแพงขึ้น คำพูดนี้ ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่า รัฐปรับขึ้นค่าไฟได้ แต่ห้ามธุรกิจปรับขึ้นราคาสินค้า และที่น่าเห็นใจก็คือ บรรดานักเรียนนักศึกษาหรือมนุษย์เงินเดือนที่เช่าบ้านอยู่ เจ้าของบ้านมีการขึ้นค่าเช่าโดยบวกค่าไฟที่เพิ่มขึ้นเรียบร้อยแล้ว จึงคาดว่าเมื่อถึง 1 เม.ย. ราคาสินค้าในไต้หวันจะพุ่งสูงอีกครั้ง พรรคฝ่ายค้านวิจารณ์ว่า นโยบายของรัฐบาลไม่ยอมใช้ไฟฟ้าจากพลังงานนิวเคลียร์ที่ราคาถูกกว่าและสะอาดกว่า แต่ไปใช้ก๊าซธรรมชาติเหลวที่สร้างมลภาวะและพลังงานสีเขียวที่ราคาแพงกว่าหลายเท่า เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ค่าไฟแพงขึ้น และจะส่งผลให้สินค้าแพงขึ้นถ้วนหน้า

    ราคาสินค้า รวมทั้งพืชผักผลไม้เตรียมขยับขึ้นตามค่าไฟ

              อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการปรับขึ้นค่าไฟ แต่ค่าไฟฟ้าในไต้หวัน ไม่ว่าจะเป็นค่าไฟในที่อยู่อาศัยหรือค่าไฟในธุรกิจและอุตสาหกรรม ยังคงถูกกว่าประเทศอื่น ๆ อย่างค่าไฟบ้านที่ไทยอยู่ที่หน่วยละ 4.7 บาท คิดเป็นเงินไต้หวันตกประมาณหน่วยละ 4.3 เหรียญ ในไต้หวันหลังปรับขึ้นครั้งนี้แล้วเฉลี่ยอยู่ที่หน่วยละ 2.61 เหรียญ หรือประเทศคู่แข่งอื่น ๆ อย่างเกาหลีใต้อยู่ที่หน่วยละ 7.23 เหรียญไต้หวัน ส่วนค่าไฟภาคอุตสาหกรรมของเกาหลี แม้จะถูกกว่าค่าไฟที่อยู่อาศัย เฉลี่ยอยู่ที่หน่วยละ 4.5 เหรียญ ขณะที่ไต้หวันหลังปรับขึ้นแล้วตกหน่วย 3.38 เหรียญ

    ทุกวันนี้ คุณแม่บ้านทั้งหลายต่างบ่นว่า พกเงิน 1,000 เหรียญไปจ่ายตลาด ซื้อผักผลไม้ได้ไม่กี่อย่าง (ภาพจาก udn.com)

              ถึงยุคที่ต้องรัดเข็มขัดประหยัดค่าใช้จ่าย โดยการวางแผนซื้อของที่จำเป็น ต้องปิดไฟ ปิดเครื่องปรับอากาศหลังไม่ใช้แล้วหรือไม่มีคนอยู่ ไม่เสียบปลั๊กชาร์จโทรศัพท์มือถือหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทิ้งไว้เมื่อแบตเตอรี่เต็มแล้ว และเปิดแอร์ในอุณหภูมิที่เหมาะสม 26°c ขอให้ทุกท่านครองชีพและอยู่ได้อย่างสบายกระเป๋าในยุคที่ค่าไฟแพง

    2. ช็อกแล้วช็อกอีก ! ประเด็นความปลอดภัยด้านอาหาร ทำสังคมไต้หวันหวาดผวา ความเชื่อมั่นในการตรวจสอบของภาครัฐลดลง

              ช่วงนี้ไต้หวันเจอปัญหาความปลอดภัยด้านอาหารหลายระลอก ทำให้ผู้คนในไต้หวันหวาดผวาซ้ำแล้วซ้ำอีก จากเรื่องของสารซูดานเรดที่จนถึงขณะนี้ยังคงตรวจพบอย่างต่อเนื่อง ในสัปดาห์นี้ยังมีเรื่องของก๋วยเตี๋ยวผัดที่ทำให้ผู้บริโภคมีอาการท้องเสียรุนแรง อาเจียน ตับและไตวาย รวมถึงภาวะน้ำคั่งในโพรงสมอง ซึ่งแต่ละคนมีอาการแตกต่างกันไปรวม 18 ราย ในจำนวนนี้เสียชีวิต 2 ราย เข้ารักษาตัวในห้องไอซียู 5 ราย กระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการไต้หวันแถลงผลการชันสูตรศพผู้เสียชีวิตพบกรด Bongkrekic acid ในศพผู้เสียชีวิต ซึ่งพบครั้งแรกในไต้หวัน สันนิษฐานว่า กรดดังกล่าวเกิดจากเส้นก๋วยเตี๋ยวที่บูดเน่าแต่ยังต้องรอการตรวจสอบที่แน่ชัดว่ามาจากเส้นก๋วยเตี๋ยวหรือวัตถุอาหารชนิดใดกันแน่

    ผู้บริโภคไต้หวัน 2 รายเสียชีวิตหลังกินก๋วยเตี๋ยวผัดจากร้าน Polam Kopitiam ยังมี 5 ราย อาการร่อแร่ (ภาพจาก ETtoday)

              ในความเป็นจริงแล้วก่อนเกิดเหตุคนเสียชีวิตเพราะกินก๋วยเตี๋ยวผัดแล้ว ยังมีเรื่องของข้าวยีสต์แดงซึ่งในไต้หวันนิยมนำมาผลิตเป็นอาหารและเครื่องดื่มรวมถึงผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เนื่องจากข้าวยีสต์แดง (紅麴) มีคุณประโยชน์หลายอย่างอาทิ ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ลดไขมันในเลือด ลดคอเลสเตอรอล บำรุงระบบย่อยอาหารและระบบขับถ่าย  ลดความเสี่ยงโรคมะเร็งลำไส้ เพิ่มประสิทธิภาพระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย และลดการติดเชื้อและการอักเสบในร่างกาย ซึ่งประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออก ได้แก่ จีน ไต้หวันและญี่ปุ่นมีการใช้กันมาเป็นเวลายาวนาน แต่จู่ๆ เมื่อวันที่ 25 มีนาคมที่ผ่านมา บ.โคบายาชิ (Kobayashi) ผู้ผลิตยาและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่น ได้สั่งเก็บผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีส่วนผสมของข้าวยีสต์แดงลงจากชั้นวางจำหน่าย เนื่องจากทำให้ผู้บริโภค 26 รายมีอาการไตเสื่อมสมรรถภาพจนต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล 6 รายรุนแรงถึงขั้นต้องล้างไต และที่น่ากลัวคือมี 1 รายเสียชีวิตหลังบริโภคข้าวยีสต์แดงของโคบายาชิเป็นเวลา 3 ปี ( เม.ย. 2564 - ก.พ.2567) บ.โคบายาชิได้ออกมาขอโทษต่อสาธารณชนและเปิดเผยว่า ได้มีการจำหน่ายข้าวยีสต์แดงให้แก่ผู้ประกอบการเครื่องดื่มและอาหารในญี่ปุ่นและไต้หวันประมาณ 50 ราย

    ข้าวยีสต์แดงของ บ. โคบายาชิ ทำให้ผู้บริโภค 26 ราย ไตเสื่อมสมรรถภาพ 6 รายรุนแรงถึงขั้นต้องล้างไต 1 รายเสียชีวิต (ภาพจาก SETN)

              ในวันเดียวกัน Takara Shuzo บริษัทผลิตสุรารายใหญ่ของญี่ปุ่นประกาศว่า เหล้าบ๊วยของบ.Takara Shuzo ใช้ข้าวยีสต์แดงของบ.โคบายาชิ ในการผลิต จึงสั่งเก็บเหล้าบ๊วยที่วางจำหน่ายอยู่ในญี่ปุ่นประมาณ 1 แสนขวดลงจากชั้นวางจำหน่าย ด้านกระทรวงการคลังไต้หวันเปิดเผยว่า ไต้หวันมี 2 บริษัทนำเข้าเหล้าบ๊วยยี่ห้อ Takara Shuzo จากญี่ปุ่นที่ จึงขอเตือนประชาชนอย่าหาซื้อมาดื่มเป็นอันขาด ที่ซื้อมาแล้วก็ห้ามดื่ม

    เหล้าบ๊วยของบ.Takara Shuzo ใช้ข้าวยีสต์แดงของบ.โคบายาชิ เจอหางเลขไปด้วย (ภาพจาก SETN)

              อีกสามวันถัดมา DHC แบรนด์เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชื่อดังของญี่ปุ่นก็ออกมาประกาศว่า ข้าวยีสต์แดงของ DHC ใช้วัตถุดิบข้าวยีสต์แดงของโคบายาชิ จึงได้สั่งเก็บลงจากชั้นวางจำหน่ายทั้งหมดแล้วสำหรับในไต้หวันข้าวยีสต์แดงยังถูกนำมาทำเป็นผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม อาทิ ขนมปัง หมานโถว คุกกี้ ชายีสต์แดง ชายีสต์แดงผสมข้าวสาลี น้ำมะเขือเทศผสมยีสต์แดง หรือน้ำส้มยีสต์แดง เป็นต้น

    TTL รัฐวิสาหกิจของไต้หวันมีการผลิตข้าวยีสต์แดงเองและนำมาใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์จากข้าวยีสต์แดงหลายรายการ (ภาพจากTTL)

              ไต้หวันสามารถผลิตข้าวยีสต์แดงได้เอง อย่าง Taiwan Tobacco & Liquor Corporation (TTL) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ มีการผลิตข้าวยีสต์แดงเองและนำมาใช้ในการผลิตสินค้าประเภทอาหารและเครื่องดื่มหลายรายการ ซึ่งจนถึงขณะนี้ไม่พบว่าสินค้าของTTL มีปัญหาด้านความปลอดภัย อย่างไรก็ตามเนื่องจากมีต้นทุนสูง ดังนั้นผู้ประกอบการจำนวนมากนิยมนำเข้าจากญี่ปุ่น เพราะนอกจากต้นทุนต่ำกว่าผลิตเองยังสามารถโฆษณาได้ว่าเป็นยีสต์แดงจากญี่ปุ่น เนื่องจากผู้บริโภคชาวไต้หวันมักเชื่อถือสินค้าจากญี่ปุ่น แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นทำให้ ในตอนนี้ผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของยีสต์แดงจึงไม่ค่อยมีคนกล้าซื้อมาบริโภค เพราะกลัวว่าจะมีการใช้ยีสต์แดงจากญี่ปุ่นในการผลิตนั่นเอง

  • 1. ศรัทธาแรงกล้า! พาไปดูประเพณีแห่เจ้าแม่มาจู่ของไต้หวัน

                เมื่อเวลาประมาณ 00.00 น. ของวันจันทร์ที่ 18 มีนาคมที่ผ่านมา ประเพณีแห่เจ้าแม่มาจู่แห่งศาลเจ้าก่งเทียนกง (拱天宮) ในหมู่บ้านไป๋ซาถุน ตำบลทงเซียว เมืองเหมียวลี่ ได้เปิดฉากขึ้นท่ามกลางผู้มีจิตศรัทธาที่สมัครเข้าร่วมขบวนแห่เกือบ 180,000 คน ซึ่งมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ จากปีที่แล้วมีประมาณ 110,000 คน  พิธีแห่เจ้าแม่มาจู่แห่งหมู่บ้านไป๋ซาถุนเป็นประเพณีพื้นบ้านที่มีความสำคัญระดับประเทศและมีประวัติความเป็นมายาวนานกว่า 200 ปี ขบวนแห่ใช้วิธีเดินเท้าเป็นระยะทางร่วม 400 กิโลเมตร เป็นเวลา 9 วัน 8 คืน จากตำบลทงเซียว เมืองเหมียวลี่ จากนั้นเข้าสู่พื้นที่ของนครไทจง จางฮั่ว และหยุนหลิน โดยมีจุดหมายปลายทางที่ศาลเจ้าเฉาเทียนกง (朝天宮) ตำบลเป๋ยกั่ง เมืองหยุนหลิน แต่จะไม่มีการกำหนดเส้นทางที่แน่นอนไว้ล่วงหน้า การหยุดพักหรือจะเดินทางกี่ชั่วโมงต่อวันจะขึ้นอยู่กับลิขิตของเจ้าแม่ อย่างไรก็ดี ตามกำหนดการขบวนแห่จะเดินทางถึงศาลเจ้าเฉาเทียนกงในช่วงเช้าเวลา 11.00 .ของวันที่ 23 มีนาคม จะมีการประกอบพิธีจิ้นเฮี้ยว ภาษาจีนกลางออกเสียงว่า จิ้นเซียง (進香) ซึ่งหมายถึงการที่สานุศิษย์ติดตามขบวนแห่ของศาลเจ้าประจำชุมชนไปสักการะศาลเจ้าดั้งเดิมหรือศาลเจ้าที่มีประวัติความเป็นมาเก่าแก่ยาวนานกว่า ในแง่ความสัมพันธ์ระหว่างศาลเจ้าจะเป็นในลักษณะของผู้น้อยไปแสดงความเคารพต่อผู้ใหญ่ ขบวนแห่เจ้าแม่มาจู่ไป๋ซาถุนมีกำหนดกลับถึงศาลเจ้าก่งเทียนกงเวลา 14.35 น ของวันที่ 26 มีนาคมนี้

               

    คณะกรรมการจัดพิธีแห่เจ้าแม่มาจู่ไป๋ซาถุนเปิดเผยว่า ปีนี้มีประชาชนสมัครเข้าร่วมขบวนแห่  179,971 คน มากที่สุดเป็นประวัติการณ์  (ภาพจาก Baishatun Matsu Internet TV)

                คณะกรรมการจัดพิธีแห่เจ้าแม่มาจู่ไป๋ซาถุนเปิดเผยว่า ปีนี้มีประชาชนสมัครเข้าร่วมขบวนแห่  179,971 คน มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ และผู้มีจิตศรัทธาบางคนที่ไม่ได้สมัครก็มาเข้าร่วมขบวนแห่ คาดว่าจะมีผู้คนกว่า 200,000 คนเข้าร่วม นอกจากนี้ในระหว่างการเดินทาง ตลอดเส้นทางที่ขบวนแห่เจ้าแม่มาจู่เคลื่อนผ่านจะมีผู้ศรัทธาในพื้นที่ออกมาให้การต้อนรับ จัดโต๊ะแจกอาหารและเครื่องดื่มไว้ให้ผู้ที่ที่ร่วมขบวนแห่ฟรีตลอดเส้นทาง อาหารการกินและที่พักค้างคืนของขบวนแห่เจ้าแม่มาจู่แห่งไป๋ซาถุนจะมีเหล่าผู้ศรัทธาเป็นผู้จัดหาให้ การบริจาคเหล่านี้ล้วนต้องผ่านความเห็นชอบจากเจ้าแม่มาจู่ก่อน ผู้ศรัทธาจะใช้วิธีเสี่ยงทายโดยการปัวะโป้ย (หมายถึงการเสี่ยงทายด้วยไม้ประกบคู่ที่มีลักษณะเป็นไม้นูนโค้งหลังเต่าด้านหน้าเรียบ 1 ชุดมีสองอัน เป็นอุปกรณ์สำคัญในการสื่อสารระหว่างผู้ศรัทธากับเทพเจ้า) เพื่อขอคำบัญชาจากเจ้าแม่มาจู่ว่าอนุญาตหรือไม่?

    เกี้ยวสีชมพูถือเป็นเอกลักษณ์สำคัญของเจ้าแม่มาจู่แห่งหมู่บ้านไป๋ซาถุน (ภาพจาก Baishatun Matsu Fanpange)

                ในอดีตผู้ศรัทธาและสานุศิษย์ที่เข้าร่วมพิธีจิ้นเฮี้ยวของเจ้าแม่มาจู่แห่งไป๋ซาถุนจะเรียกว่า เฮี้ยวเตียงคา (香燈腳) ซึ่งต้องเป็นคนในท้องถิ่นเท่านั้น แต่ในปัจจุบันร้อยละ 90 ขึ้นไปเป็นคนต่างถิ่นและในระยะไม่กี่ปีมานี้ ขบวนแห่เจ้าแม่มาจู่นิยมจัดทำของที่ระลึกที่เกี่ยวกับเจ้าแม่ อาทิ ถุงมงคล การ์ดที่ระลึก ที่ห้อยโทรศัพท์ กระเป๋าเป้ พวงกุญแจและหน้ากากอนามัย เป็นต้น เพื่อนำมาแจกให้แก่ผู้ศรัทธาที่มีบุญวาสนาได้พบเจอกันในระหว่างการเดินทางหรือผู้ที่ให้ความช่วยเหลือในการจัดที่พักค้างคืนให้แก่ขบวนแห่ ของที่ระลึกเหล่านี้ถือเป็นของขวัญเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เป็นประจักษ์พยานของการผูกบุญสัมพันธ์กับเจ้าแม่มาจู่และผู้มีจิตศรัทธา

    เที่ยงวันเสาร์ที่ 23 มี.ค. 67 ขบวนแห่เข้าสู่ตัวเมืองเป๋ยกั่งในเมืองหยุนหลิน (ภาพจาก Baishatun Matsu Fanpange)

                เจ้าแม่มาจู่ ได้ชื่อว่าเป็น เทพนารีที่ได้รับการเคารพศรัทธามากที่สุดในไต้หวัน โดยปกติแล้วในช่วงเดือน 3 ตามปฏิทินจันทรคติจีนเป็นช่วงเวลาที่ศาลเจ้าแม่มาจู่มากมายหลายแห่ง จัดพิธีแห่เจ้าแม่มาจู่พร้อมกับถือโอกาสนี้อัญเชิญองค์เจ้าแม่มาจู่ลงจากแท่นประทับและแห่ออกมานอกศาลเจ้า เพื่อเพิ่มความใกล้ชิดสนิทสนมกับผู้มีจิตศรัทธา ซึ่งทำให้เกิดเป็นปรากฏการณ์ที่คลื่นผู้คนนับหมื่นนับแสนออกมาออกันเต็มท้องถนน เพื่อรอกราบไหว้สักการะองค์เจ้าแม่มาจู่ ในจำนวนนี้เจ้าแม่มาจู่แห่งเขตต้าเจี่ย นครไทจง และศาลเจ้าแห่งหมู่บ้านไป๋ซาถุน เขตทงเซียว เมืองเหมียวลี่ ได้รับความสนใจจากผู้คนมากที่สุด

    บรรยากาศการต้อนรับขบวนแห่เจ้ามาจู่ไป๋ซาถุนที่ตำบลเป๋ยกั่ง เมืองหยุนหลิน เมื่อเที่ยงวันเสาร์ที่ 23 มี.ค. 67 ผู้มีจิตศรัทธามีจำนวนมากกว่า 500,000 คน ทำลายสถิติในรอบร้อยปี (ภาพจาก Baishatun Matsu Fanpange)

                Discovery Channel ยกย่องพิธีแห่เจ้าแม่มาจู่แห่งเขตต้าเจี่ยให้เป็น 1 ใน 3 พิธีกรรมทางศาสนาที่มีความสำคัญและยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก ในปี ค.ศ. 2010 กรมมรดกทางวัฒนธรรม (Bureau of Cultural Heritage) กระทรวงวัฒนธรรม สาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) ได้มีการขึ้นทะเบียน “พิธีแห่เจ้าแม่มาจู่แห่งเขตต้าเจี่ย” “พิธีแห่เจ้าแม่มาจู่แห่งศาลเจ้าเฉาเทียนกง เขตเป่ยกั่ง” และ “พิธีแห่เจ้าแม่มาจู่แห่งหมู่บ้านไป๋ซาถุน” เป็นประเพณีพื้นบ้านที่มีความสำคัญระดับประเทศ นอกจากนี้ความเชื่อเกี่ยวกับเจ้าแม่มาจู่ ยังถูกจัดให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ (intangible cultural heritage) ของมวลมนุษยชาติ โดยไต้หวันถือเป็นดินแดนและศูนย์กลางแห่งความเชื่อเกี่ยวกับเจ้าแม่มาจู่ของโลก

    บรรยากาศการต้อนรับขบวนแห่เจ้ามาจู่ไป๋ซาถุนที่ศาลเจ้าเฉาเทียนกง ตำบลเป๋ยกั่ง เมืองหยุนหลิน เมื่อเที่ยงวันเสาร์ที่ 23 มี.ค. 67 ผู้มีจิตศรัทธามาร่วมกว่า 500,000 คน ทำลายสถิติในรอบร้อยปี (ภาพจาก Baishatun Matsu Fanpange)

    2. ไต้หวันส่งออกระบบเก็บค่าผ่านทางอัตโนมัติ (ETC) ช่วยไทยสร้างระบบ M-Flow แก้ปัญหารถติดบนทางด่วนและมอเตอร์เวย์ของไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

                คนไทยที่มาทำงาน มาเรียนหนังสือหรือท่องเที่ยวในไต้หวัน หากมีโอกาสนั่งรถผ่านทางด่วนไต้หวัน จะรู้สึกชื่นชม เพราะรถไม่ติดและไม่มีด่านเก็บเงินต้องทำให้รถชะลอความเร็ว ทั้งนี้เพราะทางด่วนไต้หวันใช้ระบบเก็บค่าผ่านทางอัตโนมัติ หักเงินจากบัญชี ซึ่งถูกกว่าวิธีเดิมที่ต้องซื้อบัตรผ่านทาง เพราะไม่มีต้นทุนค่าจ้างพนักงานในด่านเก็บเงิน

    ทางด่วนไต้หวันเริ่มใช้ระบบเก็บค่าผ่านทางอัตโนมัติชนิดไม่มีไม้กั้นแบบหลายช่องทาง (ETC) มาตั้งแต่ปี 2557 ในภาพเป็นทางด่วนหมายเลข 1 (ภาพจาก FETC)

              เมื่อวันที่ 19-23 มีนาคมนี้ ไต้หวันมีการจัดประชุมสุดยอดและนิทรรศการเมืองอัจฉริยะที่ไทเปและเกาสง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นเวทีนำเสนอเทคโนโลยีทันสมัยและการสร้างเครือข่ายพัฒนาเมืองอัจฉริยะ ภายในงานประกอบไปด้วยกิจกรรมต่าง ๆ อาทิ การประชุมพบปะแลกเปลี่ยนความคิดผู้นำจากหลากประเทศ เวทีสัมมนา นำเสนอเทคโนโลยีเพื่อการพัฒนาเมือง รวมถึงบูธแนะนำนวัตกรรม และเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อการนำมาประยุกต์แก้ปัญหาในการบริหารเมืองและเป็นเครื่องมือช่วยตัดสินใจของภาครัฐและภาคธุรกิจในการหาทางออกที่ชาญฉลาด ที่อยากจะนำมาเล่าให้ฟังคือ ในงานนี้ มีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับประเทศไทย นั่นคือ บริษัท ฟาร์อีสเทิร์น อิเล็กทรอนิกส์ โทลล์คอลเลกชัน จำกัด (Far Eastern Electronic Toll Collection Co., Ltd หรือ FETC) ซึ่งเป็นผู้ออกแบบ วางระบบ และดำเนินการระบบเก็บค่าผ่านทางชนิดไม่มีไม้กั้นแบบหลายช่องทางของไต้หวัน ซึ่งได้เปลี่ยนแปลงการคมนาคม ทำให้การเดินทางบนท้องถนนปลอดภัย มีประสิทธิภาพมากขึ้น และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ได้นำนวัตกรรมใหม่ด้านการคมนาคมมาแสดงในงาน

    FETC ช่วยไทยสร้างระบบ เก็บค่าผ่านทางอัตโนมัติ แก้ปัญหารถติดบนทางด่วนและมอเตอร์เวย์ ในภาพเป็นซุ้มเหล็กขนาดใหญ่บนทางด่วนของไทยที่ติดตั้งเครื่องอ่านข้อมูล RFID Tag ซึ่งอยู่ระหว่างก่อสร้าง  (ภาพจาก FETC)

              ที่บอกว่าเกี่ยวข้องกับไทย เพราะ FETC ได้ส่งออกระบบเก็บค่าผ่านทางอัตโนมัติ (ETC) โดยช่วยไทยสร้างระบบจัดเก็บค่าผ่านทางอัตโนมัติแบบไม่มีไม้กั้น เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรติดขัดบนทางด่วนและมอเตอร์เวย์ โดยการใช้เทคโนโลยี AI ที่ทันสมัยที่สุด เรียกว่าระบบ M-Flow บนทางด่วนและมอเตอร์เวย์ของไทยหลายสาย โดยเริ่มจากลงนามกับกลุ่ม BGSR ของไทยติดตั้งระบบเก็บค่าผ่านทางอัตโนมัติหรือ M-Flow บนมอเตอร์เวย์สายใหม่ของไทย 2 เช่น ทางหลวงหมายเลข 6 (M6) สายบางปะอิน-นครราชสีมา ระยะทางรวมประมาณ 196 กิโลเมตร ซึ่งเปิดใช้แล้วบางช่วงและทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 81 (M81) สายบางใหญ่-กาญจนบุรี ระยะทางรวมประมาณ 96 กิโลเมตร มีกำหนดติดตั้งแล้วเสร็จทั้งหมดในปี 2568 และเริ่มมีการเปิดให้บริการแล้วในบางส่วนบนทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) หมายเลข 9 หรือวงแหวนกาญจนาภิเษก (บางปะอิน-บางพลี) ตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นมา ผลปรากฏว่า การนำเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้ในการจัดเก็บค่าผ่านทางด้วยกล้องตรวจบันทึกภาพป้ายทะเบียนรถ ด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลแบบ Video Tolling แทนการเก็บค่าผ่านทางอัตโนมัติแบบระบบไม้กั้นทั่วไป ทำให้ผู้ใช้รถยนต์สามารถขับขี่ผ่านบริเวณด่านโดยไม่ต้องหยุดหรือชะลอรถ ด้วยความเร็วกว่า 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ช่วยระบายรถได้ 2,000-2,500 คันต่อชั่วโมงต่อช่องทาง ทำให้เร็วขึ้นกว่าระบบเดิมที่ใช้อยู่ถึง 5 เท่า แก้ปัญหาการจราจรติดขัดที่ด่านแบบเดิมที่ใช้คนเก็บเงินหรือแตะการ์ดได้อย่างมีประสิทธิภาพ คาดว่าจะมีการขยายไปยังเส้นทางอื่น ๆ เพิ่มมากขึ้น และนอกจากไทยแล้ว ประเทศอื่นในเอเชีย อย่างมาเลเซียและอินเดียก็ให้ความสนใจในระบบการจัดเก็บค่าผ่านทางแบบไร้ไม้กั้นของไต้หวันเป็นอย่างมาก

    ซุ้มเหล็กขนาดใหญ่บนทางด่วนที่ติดตั้งเครื่องอ่านข้อมูล RFID Tag ซึ่งอยู่ระหว่างก่อสร้าง  (ภาพจาก FETC)

              ไต้หวันเริ่มระบบเก็บค่าผ่านทางอัตโนมัติชนิดไม่มีไม้กั้นแบบหลายช่องทาง (ETC) มาตั้งแต่ปี 2557 ในอดีตสภาพรถติดบนทางด่วนของไต้หวัน โดยเฉพาะที่ด่านเก็บค่าผ่านทางที่ใช้คนเก็บตั๋ว เป็นภาพที่พบเห็นบ่อยมาก แต่ช่วง 10 มานี้ ระบบ ETC ซึ่งติดตั้งเครื่องอ่านข้อมูลจาก RFID Tag สติกเกอร์เล็ก ๆ ที่แปะติดไว้หน้ากระจกรถได้อย่างแม่นยำ แม้รถจะวิ่งด้วยความเร็วสูงกว่า 150 กม./ชม. ก็ตาม (ทางด่วนของไต้หวัน ช่วงปกติจะจำกัดรถยนต์วิ่งด้วยความเร็วไม่เกิน 90 กม./ชม.) ช่วยให้ทางด่วนในไต้หวันมีสภาพการณ์รถติดลดลงอย่างมาก ยกเว้นกรณีที่เกิดอุบัติเหตุรถชนกัน หรือทางลงต่างระดับบางแห่งที่มีรถเยอะในชั่วโมงเร่งด่วน บริษัท FETC กล่าวว่า การที่รถไม่ต้องผ่านด่านเก็บค่าผ่านทาง ทำให้ระบายรถบนทางด่วนได้อย่างลื่นไหลไม่ติดขัด ช่วยลดการเผาผลาญน้ำมันเชื้อเพลิงได้จำนวน 990 ล้านลิตร นำไปเทลงในสระว่ายน้ำมาตรฐานโอลิมปิกได้ถึง 399 สระ ลดการใช้บัตรผ่านทางซึ่งมีมูลค่า 40 เหรียญต่อใบในแต่ละด่าน หากนำบัตรผ่านทางเหล่านี้มาวางซ้อนกันจะมีความสูงเท่ากับตึกไทเป 101 ซึ่งสูง 508 เมตร ถึง 11,000 ตึก ยังช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่บรรยากาศได้ถึง 2.34 ล้านตัน เท่ากับการดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปีของต้นไม้ในสวนสาธารณะต้าอาน ซึ่งเป็นสวนป่าไม้สาธารณะที่ใหญ่ที่สุดในกรุงไทเป มีพื้นที่กว้าง 25.9293 เฮกตาร์ หรือ 162 ไร่ ถึง 6,319 แห่ง

    FETC ผู้ออกแบบ วางระบบ และดำเนินการระบบเก็บค่าผ่านทางชนิดไม่มีไม้กั้นแบบหลายช่องทางของไต้หวัน ช่วยไทยสร้างระบบ M-Flow แก้ปัญหารถติดบนทางด่วนและมอเตอร์เวย์  (ภาพจาก FETC)

  • Saknas det avsnitt?

    Klicka här för att uppdatera flödet manuellt.

  • 1. เตือนดูแลสุขภาพ! สุดสัปดาห์นี้อากาศอบอุ่นถึงร้อน วันจันทร์มีลมหนาวลูกใหม่มาเยือน พุธ-พฤหัสบดีหนาวสุด 12-14°c พื้นที่ราบโล่งต่ำกว่า 10°c

              สัปดาห์ที่ผ่านมา แม้กลางคืนและช่วงเช้าจะหนาว แต่กลางวันอากาศอบอุ่น โดยเฉพาะวันเสาร์และวันอาทิตย์ อุณหภูมิช่วงกลางวัน 26-30°c แต่อย่าเพิ่งเก็บเสื้อกันหนาว กรมอุตุนิยมวิทยาเตือนว่า หน้าหนาวยังไม่หมด วันจันทร์ที่ 18 มี.ค. นี้ จะมีลมหนาวลูกใหม่มาเยือนส่งผลให้ทั่วไต้หวันอุณหภูมิค่อย ๆ ลดลง โดยเฉพาะภาคเหนือเด่นชัดที่สุด และจะหนาวสุดในวันพุธที่ 20 และเช้าวันพฤหัสบดีที่ 21 มี.ค. ภาคกลาง-เหนือ อุณหภูมิลดเหลือ 12-14°c พื้นที่ราบโล่งบางแห่งอาจต่ำกว่า 10°c จึงเตือนให้ระวังสุขภาพ

    อย่าเพิ่งเก็บเสื้อกันหนาว กรมอุตุนิยมวิทยาเตือน วันจันทร์ที่ 18 มี.ค. จะมีลมหนาวลูกใหม่มาเยือน อุณหภูมิค่อย ๆ ลดลง หนาวสุด 20-21 มี.ค. (ภาพจาก chinatimes.com)

    2. วิกฤตซูดานเรด ทุบความเชื่อมั่นผู้บริโภค ชาวไต้หวันผวาไม่กล้าซื้อ พริก พริกไทยป่นและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง

              ในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ศัพท์คำว่า ซูดานเรด ซึ่งเป็นสารสังเคราะห์ที่ให้สีแดงและเป็นสีในกลุ่มสีย้อมที่ใช้ในอุตสาหกรรม คนทั่วไปแทบไม่เคยได้ยินมาก่อน ได้กลายเป็นคำศัพท์ที่คนไต้หวันคุ้นเคยและหวาดผวา  เนื่องจากตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นมามีรายงานข่าวว่า ตรวจพบข้าวเกรียบกุ้งยี่ห้อดังของไต้หวันปนเปื้อนสารซูดานเรดซึ่งเป็นสารก่อมะเร็ง ทำให้ผู้คนตื่นตระหนก เพราะข้าวเกรียบกุ้งยี่ห้อนี้เป็นขนมขบเคี้ยวแบรนด์เก่าแก่และมีชื่อเสียงของไต้หวัน ที่น่าตกใจไปกว่านั้นคือ อีกไม่กี่วันต่อมามีการตรวจพบพริกป่น พริกไทยป่น ผงกะหรี่ป่น คุกกี้ หมูแผ่น และผลิตภัณฑ์อาหารที่มีส่วนผสมของพริกอีกหลายชนิดปนเปื้อนสารซูดานเรด ทำเอาผู้บริโภคในไต้หวันหวาดผวาไปตามๆกัน แม้รัฐบาลจะออกมาประกาศว่าจะรีบตรวจสอบให้แล้วเสร็จภายในเดือนมีนาคมนี้ แต่เนื่องจากมีการตรวจพบอาหารที่ปนเปื้อนสารก่อมะเร็งดังกล่าวเพิ่มขึ้นทุกวัน ทำให้เหตุการณ์นี้ได้กลายเป็นวิกฤตความปลอดภัยทางอาหารของไต้หวันไปแล้ว

    วิกฤตซูดานเรดขยายวงกว้าง ลุกลามทั่วไต้หวัน ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค (ภาพจาก businesstoday.com.tw)

              ย้อนกลับไปดูต้นเรื่องกัน ช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา กองสาธารณสุขเมืองหยุนหลินได้รับแจ้งว่า บริษัทจี้เซิงสาขาโต่วลิ่วมีการผลิตพริกป่นปนเปื้อนสารซูดานเรด เมื่อเข้าตรวจสอบพบพริกป่นปนเปื้อนสารซูดานเรดล็อตหนึ่ง มีปริมาณทั้งสิ้น 1,737 กก. และถูกจำหน่ายออกไปยังกรุงไทเป 372 กก. นิวไทเป 914.4 กก. เถาหยวน 275.1 กก. ไทจง 30 กก. ไถหนาน 40.5 กก. หยุนหลิน 12 กก. อี๋หลาน 12 กก. ผิงตง 72 กก. เกาสง 8 กก.โดยพริกป่นที่จำหน่ายไปยังเกาสง มีบริษัทอวี้หรง ซึ่งเป็นบริษัทผลิตข้าวเกรียบกุ้งยี่ห้อเซียเว่ยเซียนเป็นผู้สั่งซื้อเพื่อนำไปผลิตข้าวเกรียบกุ้ง จำนวน 31,208 กก. และส่งไปจำหน่ายทั่วไต้หวันแล้ว เมื่อมีการตรวจสอบพบว่า บ.จี้เซิงซื้อพริกป่นจากบ.เป่าซิน ซึ่งเป็นบริษัทที่นำเข้าเครื่องเทศจากจีนและหลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่พริกป่นล็อตที่ปนเปื้อนสารซูดานเรดนำเข้าจากจีน ซึ่งนอกจากจำหน่ายให้ บ.จี้เซิ้งแล้วยังจำหน่ายให้ผู้ประกอบการอาหารแปรรูป  ผลิตภัณฑ์ประเภทเครื่องปรุงรส อีกเกือบ 30 บริษัท น้ำหนักรวม 40,939 กก.  ที่น่าผวาไปกว่านั้นคือเดือนมีนาคม สำนักงานอาหารและยาของไต้หวันตรวจพบ พริกป่นที่นำเข้าจากจีนโดย บ.จินจั้น จำนวน 7 ล็อต น้ำหนักรวม 33,000 กว่า กก. จำหน่ายให้แก่ผู้ประกอบการร้านอาหารซึ่งรวมร้านไหตี่เลา (海底撈) 16 สาขา ร้านเกี๊ยวทอด 8 Way (八方雲集) รวมถึงผู้ผลิตซอสซาฉา พริกไทยป่น ผงกะหรี่ป่น แป้งไก่ทอด คุกกี้ หมูแผ่น และกิมจิ เป็นต้น ซึ่งผู้รับผิดชอบบริษัทจินจั้นถูกดำเนินคดีในข้อหาฝ่าฝืนกฎหมายว่าด้วยความปลอดภัยด้านอาหาร

    นอกจากพริกป่นแล้ว ยังตรวจพบผงกะหรี่ พริกไทยป่นและซอสซาฉา ปนเปื้อนสารซูดานเรดด้วย (ภาพจาก merit-times.com)

              ผู้ประกอบการที่สั่งซื้อพริกป่นปนเปื้อนสารซูดานเรดเหล่านี้ต่างออกมาขอโทษประชาชนแต่ก็ปัดความรับผิดชอบว่า ไม่รู้ว่าพริกป่นเหล่านี้มีปัญหา ซึ่งเป็นสิ่งที่คนทั่วไปรับไม่ได้เนื่องจากคนที่ทำธุรกิจอาหารต้องมีจรรยาบรรณ เนื่องจากเกี่ยวข้องกับสุขภาพของผู้บริโภคโดยตรง ดังนั้นในตอนนี้ผู้บริโภคในไต้หวันแทบจะไม่มีใครกล้าซื้อพริกป่น พริกไทยป่น หรือผลิตภัณฑ์อาหารที่มีส่วนผสมของพริกป่น แม้แต่ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากพริกสดก็ไม่มีคนกล้าซื้อเพราะกลัวว่าจะมีการปนเปื้อนสารซูดานเรด

    สินค้าที่ปนเปื้อนสารย้อมสีซูดานเรดมีหลายสิบแบรนด์นับร้อยรายการ ในภาพเป็นเพียงบางส่วน (ภาพจาก vocus.cc)

              อย่างไรก็ดี ท่ามกลางวิกฤตซูดานเรดที่กระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคอย่างรุนแรง มีบริษัทผลิตเครื่องเทศและเครื่องปรุงอาหารรายหนึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ประกอบการที่มีจรรยาบรรณ นั่นก็คือบริษัท Tomax (小磨坊) ที่รอดจากวิกฤตนี้ เพราะมีการตรวจสอบวัตถุดิบที่สั่งซื้อจากต่างประเทศเองทุกล็อต ยอมเสียเงินค่าตรวจสอบเพื่อรับประกันความปลอดภัยของสินค้าที่บริษัทจำหน่าย

    เนื่องจากมีการตรวจสอบวัตถุดิบทุกชนิดก่อนนำเข้าสู่กระบวนการผลิตทำให้ผลิตภัณฑ์เครื่องเทศและเครื่องปรุงรสอาหารยี่ห้อ Tomax (小磨坊) รอดจากวิกฤตซูดานเรด  (ภาพจาก tomax.com.tw)

              ต่งต้าปิน (董大斌 ) ประธานบริษัท Tomax เปิดเผยว่าเนื่องจากมองเห็นความสำคัญของปัญหา ในปี 2560 หรือเมื่อ 7 ปีที่แล้วจึงตัดสินใจก่อตั้งศูนย์ความปลอดภัยทางอาหาร ขึ้น วัตถุดิบทุกชนิดต้องผ่านการตรวจสอบความปลอดภัย ไม่มีการปนเปื้อนสารพิษหรือสารก่อมะเร็งก่อนนำเข้าสู่กระบวนการผลิต ช่วง 7 ปีที่ผ่านมา เฉพาะค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบความปลอดภัยของวัตถุดิบอาหารสูงเกือบ 30 ล้านเหรียญไต้หวัน แต่ถือว่าคุ้มค่าเพราะเป็นเรื่องของความปลอดภัยและชื่อเสียงของบริษัทที่สั่งสมมาเป็นเวลาร่วม 60 ปี

    เจ้าหน้าที่กองอนามัยนครไถหนานกำลังตรวจสอบข้าวเกรียบกุ้งยี่ห้อเซียเว่ยเซียนปนเปื้อนสารย้อมสีซูดานเรดในโกดังแห่งหนึ่งสั่งอายัด 16,000 ห่อ (ภาพจากกองอนามัย นครไถหนาน)

              สำหรับสารซูดาน เรด (Sudan red) เป็นสารสังเคราะห์ที่ให้สีแดงและเป็นสีในกลุ่มสีย้อมที่ใช้ในอุตสาหกรรม ปกตินิยมใช้เป็นสารให้สีของพลาสติกและวัสดุสังเคราะห์อื่น ๆ ผลิตภัณฑ์อาหารที่มักพบซูดานเรดปนเปื้อน ได้แก่ สินค้าพริกป่นและผลิตภัณฑ์ที่ได้จากพริก ผลิตภัณฑ์เครื่องเทศ ขมิ้น และผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมรับประทานอื่นๆ ที่มีส่วนผสมของพริก เครื่องเทศ และซอสที่มีสี คาดว่าผู้ผลิตเจตนาผสมลงไป เพื่อต้องการเพิ่มสีให้พริกป่นมีสีแดงสดน่ารับประทานยิ่งขึ้น

    การตรวจพบสารซูดานเรด ทำลายความเชื่อมั่นผู้บริโภค ทำให้ชาวไต้หวันผวาไม่กล้าซื้อ พริก พริกไทยป่นและผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง

    3. จริงไหม? ระบบเลือกตั้งของไต้หวัน ล้าหลังกว่าไทยและประเทศในอาเซียน รัฐบาลยืนยัน ไม่มีแผนให้ประชาชนใช้สิทธิ์นอกเขตเลือกตั้ง

              กรณีที่พรรคฝ่ายค้านผลักดันแก้กฎหมายการเลือกตั้ง เพื่ออำนวยความสะดวกประชาชนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง ซึ่งอยู่ในเมืองอื่นหรืออยู่ต่างประเทศ ไม่สามารถกลับไปใช้สิทธิ์ในเขตเลือกตั้งที่ตนมีชื่อในทะเบียนบ้าน ที่เรียกกันว่าใช้สิทธิ์นอกเขตเลือกตั้งหรือนอกประเทศได้นั้น กำลังกลายเป็นประเด็นร้อนที่มีการถกเถียงกันในไต้หวัน ส.ส. พรรคฝ่ายค้านเห็นว่า การไม่อนุญาตให้ประชาชนใช้สิทธิ์นอกเขตเลือกตั้งหรือใช้สิทธิ์เลือกตั้งนอกประเทศ เป็นการลิดรอนสิทธิ์การเลือกตั้งของประชาชน และเป็นการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ โดยกล่าวว่า การอำนวยความสะดวกแก่ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งใช้สิทธิ์นอกเขตเลือกตั้งหรือนอกประเทศนั้น ในทางปฏิบัติแล้วทำได้ง่าย อย่างน้อยที่สุดควรเริ่มต้นที่การเลือกตั้งประธานาธิบดี และหลายประเทศในซีกโลกตะวันตกหรือแม้กระทั่งประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 115 ประเทศ อย่างอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์และไทย อนุญาตให้ประชาชนใช้สิทธิ์เลือกตั้งนอกเขตและนอกประเทศมานานแล้ว แต่ในไต้หวันพรรครัฐบาลเกรงจะมีผลต่อการเลือกตั้งของตน ปฏิเสธแก้กฎหมาย โดยอ้างจะจะถูกประเทศอื่นแทรกแซง ไม่ยอมอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน

    ระบบเลือกตั้งในไต้หวัน ผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงต้องไปใช้สิทธิ์ในเขตเลือกตั้งเท่านั้น ในภาพเป็นคูหาเลือกตั้งแห่งหนึ่งในการเลือกตั้งประธานาธิบดีและ ส.ส. เมื่อ 13 มกราคม 67

              เรื่องนี้ นายเฉินเจี้ยนเหริน นายกรัฐมนตรีของไต้หวันชี้แจงว่า เหตุผลที่รัฐบาลยืนยันไม่อนุญาตให้ใช้สิทธิ์นอกเขตเลือกตั้งหรือนอกประเทศ เพราะคำนึงถึงความถูกต้อง เป็นธรรมและมีความเป็นส่วนตัว และการใช้สิทธิ์เลือกตั้งในประเทศ อาจจะได้รับแรงกดดันหรือถูกแทรกแซงได้โดยง่าย ดังนั้น รัฐบาลไม่มีนโยบายหรือมีแผนการที่จะให้มีการใช้สิทธิ์เลือกตั้งนอกเขตพื้นที่หรือในต่างประเทศแต่อย่างใด

    ระบบเลือกตั้งในไต้หวัน ผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงต้องไปใช้สิทธิ์ในเขตเลือกตั้งเท่านั้น ในภาพเป็นชาวเกาสงต่อแถวเพื่อรอการหย่อนบัตรเลือกตั้งระดับท้องถิ่น เมื่อ 24 พ.ย. 2561

              ในไต้หวันมีการเลือกตั้งทุก 2 ปี เป็นการเลือกตั้งระดับท้องถิ่นอย่างผู้ว่าการเมืองและสมาชิกสภาเทศบาลเมืองรวม 9 รายการ และการเลือกตั้งระดับประเทศ ได้แก่ประธานาธิบดีและสมาชิกสภานิติบัญญัติ นอกจากนี้ ยังมีการลงประชามติเป็นระยะ จัดได้ว่าเป็นเขตพื้นที่ที่มีการเลือกตั้งบ่อย แต่การเลือกตั้งในไต้หวัน ไม่อนุญาตให้มีการใช้สิทธิ์นอกเขตเลือกตั้งและใช้สิทธิ์เลือกตั้งนอกต่างประเทศ เมื่อถึงวันเลือกตั้ง ผู้มีสิทธิ์ไม่ว่าจะอยู่เมืองอื่นในไต้หวันหรือในต่างประเทศ จะต้องเดินทางกลับภูมิลำเนาเดิมที่ตนมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน เพื่อไปใช้สิทธิ์ในเขตเลือกตั้ง จะมีการยกเว้นก็เพียงเจ้าหน้าที่การเลือกตั้ง หากต้องปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยเลือกตั้งนอกเขตการเลือกตั้งของตน จะได้รับอนุญาตให้ใช้สิทธิ์ในหน่วยเลือกตั้งที่ตนปฏิบัติหน้าที่อยู่เท่านั้น ความไม่สะดวกดังกล่าว ทำให้ประชาชนจำนวนไม่น้อยบ่นว่า ไต้หวันมีความเจริญก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีการสื่อสาร หรือมีการเรียกเป็นเกาะไฮเทค แต่หลาย ๆ ด้าน กลับไม่ใช้ความได้เปรียบในด้านเทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ ที่ผ่านมา พรรคฝ่ายค้านมีเสียงข้างน้อยในสภานิติบัญญัติ ไม่สามารถที่จะแก้กฎหมายการเลือกตั้งได้ แต่ครั้งนี้ พรรคฝ่ายค้านมีเสียงข้างมากในสภาฯ การผลักดันในประเด็นนี้ จะสามารถดำเนินได้หรือไม่ ต้องจับตามองดูกันต่อไป

    ชาวไต้หวันจำนวนมากอิจฉาแรงงานต่างชาติสามารถใช้สิทธิ์นอกเขตเลือกตั้งได้ ในภาพเป็นแรงงานฟิลิปปินส์รายหนึ่ง ใช้สิทธิ์เลือกตั้งในไต้หวันผ่านทางไปรษณีย์ (ภาพจาก chinatimes.com)

              พูดถึงเรื่องการใช้สิทธิ์นอกเขตเลือกตั้ง ใช้สิทธิ์เลือกตั้งล่วงหน้าหรือใช้สิทธิ์เลือกตั้งนอกประเทศ ไทย ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซียรุดหน้ากว่าไต้หวัน 3 ประเทศนี้จัดการเลือกตั้งทีไร คนไต้หวันมักจะแสดงความอิจฉาแรงงานต่างชาติจาก 3 ประเทศนี้ว่า มีสิทธิ์มีเสียงในระบอบประชาธิปไตยมากกว่าพวกเขา

    บรรยากาศการเลือกตั้งประธานาธิบดีอินโดนีเซียเมื่อ 14 ก.พ. 67 ที่หน่วยเลือกตั้งเมืองฮัวเหลียน แรงงานอินโดนีเซียเดินทางไปใช้สิทธิ์กันค่อนข้างคึกคัก (ภาพจาก Liberty Times)

  • 1. เตือนดูแลสุขภาพ อากาศหนาวแถมมีโรคระบบทางเดินหายใจระบาด ลมหนาวลูกใหม่พร้อมฝนจะมาเยือนในวันจันทร์หน้า

              ช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมานี้ สภาพอากาศในไต้หวันแปรปรวนมาก เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว อย่างสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ ช่วงวันจันทร์และอังคาร อากาศร้อน ช่วงกลางวันบางพื้นที่อุณหภูมิสูงถึง 34-35 องศาเซลเซียส แต่พอถึงวันพุธมีลมหนาวมาเยือน อากาศเปลี่ยนจากร้อนมาเป็นทั้งหนาวทั้งชื้นแฉะ ภาคเหนือช่วงเช้ามืดอุณหภูมิลดดิ่งลงมาเหลือเพียง 10 องศาเซลเซียสในวันพฤหัสบดี ศุกร์  และเสาร์ ลมหนาวจะอ่อนกำลังลงและอากาศจะเริ่มอุ่นขึ้นในวันอาทิตย์

    หน้าหนาวปีนี้ ลมหนาวมาถี่ ภาคเหนือช่วงเช้ามืดของวันเสาร์นี้ อุณหภูมิลดดิ่งลงมาเหลือเพียง 10°c หนาวสุดที่เหมียวลี่ มีเพียง 7.5°c (ภาพจาก Cti)

    2. ผู้โดยสารเดือดดาล! สนามบินเถาหยวนปิดซ่อมบำรุงรันเวย์ เหลือใช้งานเพียงรันเวย์เดียว กระทบ 500 กว่าเที่ยวบิน

              สัปดาห์ที่ผ่านมาหนึ่งในประเด็นร้อนที่ทำให้ชาวไต้หวันจำนวนไม่น้อยเดือดดาลก็คือ สนามบินนานาชาติเถาหยวนปิดซ่อมแซมทางวิ่งที่อยู่ทางด้านใต้ตั้งแต่เวลา 10.00 น. ของวันที่ 3 มีนาคม 2567 เหลือเพียงรันเวย์ทางด้านเหนือ กระทบต่อการบินขึ้นและลงจอดของเครื่องบิน 500 กว่าเที่ยวบิน ทำให้เที่ยวบินล่าช้าหลายชั่วโมง ผู้โดยสารเดือดดาล จน รมว. คมนาคมต้องออกมาขอโทษ

    สนามบินเถาหยวนปิดซ่อมบำรุงรันเวย์ เหลือใช้งานเพียงรันเวย์เดียว ทำเครื่องบินต่อคิวขึ้นลงนาน3-5 ชั่วโมง (ภาพจาก udn.com)

              เมื่อวันที่ 3 มีนาคม เวลาประมาณ 10.00 น. รันเวย์ทางใต้ของสนามบินเถาหยวน ได้ทำการปิดซ่อมบำรุงประจำปี เดิมคาดว่าจะปิดซ่อมเป็นเวลา 54 ชั่วโมง ดังนั้นจึงมีเพียงรันเวย์ทางเหนือที่สามารถเปิดใช้งาน ส่งผลให้เที่ยวบินต้องเปลี่ยนไปลงจอดที่สนามบินเกาสงและซงซานหรือแม้กระทั่งบางเที่ยวบินต้องบินไปลงจอดที่มณฑลกวางตุ้งของจีน และยังทำให้เที่ยวบินขาออกล่าช้า จนมีผู้โดยสารจำนวนมากไม่พอใจ

    สนามบินเถาหยวนปิดซ่อมบำรุงรันเวย์ เหลือรันเวย์ใช้งานเพียงเส้นเดียว กระทบ 500 กว่าเที่ยวบิน (ภาพจาก nownews.com)

              บริษัทท่าอากาศยานเถาหยวนเปิดเผยว่า วันที่ 3 มีนาคม มีจำนวน 698 เที่ยวบิน ซึ่งค่อนข้างมาก จึงได้รับผลกระทบเนื่องจากมีแค่รันเวย์เดียวที่ใช้งานได้ ส่งผลให้เที่ยวบินขาออกเกิดความล่าช้า เที่ยวบินขาเข้าต้องไปลงจอดที่สนามบินอื่น แล้วจึงค่อยๆ ทยอยบินกลับมา ในขณะที่หวังกั๋วฉาย (王國材) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมไต้หวันแถลงว่า ได้มีการย่นระยะเวลาการซ่อมบำรุงให้สั้นลง และซ่อมแซมแล้วเสร็จภายในเวลาเที่ยงคืนของวันที่ 4 มีนาคมนี้ แล้วจึงกลับมาใช้งานรันเวย์แบบคู่ขนานได้

    ผู้โดยสารจำนวนมากบ่นยับ ไม่สามารถเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางได้ตามกำหนด เฉลี่ยล่าช้า 3-4 ชั่วโมง (ภาพจาก ftvnews.com.tw)

              ท่าทีของบริษัทท่าอากาศยานเถาหยวนและรัฐมนตรีคมนาคมที่ดูเหมือนว่า ไม่ใช่เรื่องใหญ่มีปัญหาเพียงบางส่วนเท่านั้น ทั้งที่ความจริงคือเที่ยวบินทั้งขาเข้าและขาออกล่าช้าทุกเที่ยวบิน อีกทั้งประชาชนส่วนใหญ่มองว่า การซ่อมบำรุงรันเวย์ ทำกันทุกปี และรู้กำหนดการที่แน่ชัดอยู่แล้วว่าจะทำการซ่อมบำรุงเมื่อไหร่ อีกทั้งจำนวนเที่ยวบินขาเข้าและขาออกในแต่ละวันมีมากน้อยแค่ไหน แต่จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแสดงให้เห็นว่า ไม่ได้เตรียมมาตรการรองรับไว้เลย

    ภาพแสดงเครื่องบินจำนวนมากในสนามบินเถาหยวนกำลังรอคิวบินขึ้น (ภาพจากแอป flightradar24)

    3. รู้ไหม? ปี 2566 ไต้หวันมีฟ้าแลบกว่า 10 ล้านครั้ง เมืองที่ธอร์ เทพแห่งสายฟ้าโปรดปรานมากสุดได้แก่หนานโถว ตามด้วยเจียอี้และไถหนาน

              เมื่อวันอังคารที่ 5 มีนาคม 2567 ตรงกับวันจิงเจ๋อ (驚蟄) ซึ่งเป็น 1 ใน 24 ช่วงการเปลี่ยนแปลงของดินฟ้าอากาศตามภูมิปัญญาโบราณของจีน เป็นช่วงฤดูกาลที่มีฟ้าผ่าเสียงดัง เรียกให้บรรดาสัตว์และแมลงตื่นจากการจำศีล เข้าสู่ฤดูเพาะปลูก นับจากนี้ไป อากาศจะเริ่มอบอุ่นขึ้น อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสภาพแวดล้อมของโลกแปรเปลี่ยนไป ฤดูหนาวอาจเยื้อยาวออกไปหน่อย แต่โดยหลักการแล้ว การแบ่งช่วงเวลาของปีออกเป็น 24 ช่วงหรือฤดูกาลของจีน ซึ่งเป็นภูมิปัญญาโบราณนับเป็นพัน ๆ ปีมาแล้ว ก็ยังค่อนข้างแม่นยำ และถูกยึดถือเป็นปฏิทินหลักในการประกอบเกษตรกรรมมาจนถึงทุกวันนี้

    เมื่อ 5 มี.ค. ที่ผ่านมา ตรงกับวันจิงเจ๋อ (驚蟄) ซึ่งเป็น 1 ใน 24 ช่วงการเปลี่ยนแปลงของดินฟ้าอากาศตามภูมิปัญญาโบราณของจีน เป็นช่วงฤดูกาลที่มีฟ้าผ่าเสียงดัง เรียกให้บรรดาสัตว์และแมลงตื่นจากการจำศีล พืชพรรณต่าง ๆ งอกโผล่พื้นดิน

              เมื่อพูดถึงฟ้าแลบฟ้าผ่า WeatherRisk Explore Inc. บริษัทที่ปรึกษาความเสี่ยงด้านลมฟ้าอากาศของไต้หวันเปิดเผยสถิติฟ้าแลบทั่วไต้หวันตลอดปี 2566 ที่ผ่านมาว่า มีทั้งหมด 10,586,436 ครั้ง ในจำนวนนี้ มีฟ้าผ่า 3,138,666 ครั้ง หรือประมาณ 30% จากสถิติพบว่า เมืองที่มีฟ้าแลบและได้ยินเสียงฟ้าผ่าบ่อยที่สุดในไต้หวัน ได้แก่เมืองหนานโถว มีฟ้าแลบ 291,146 ครั้ง ตามด้วยเมืองเจียอี้ 175,759 ครั้ง นครไถหนาน 165,436 ครั้ง นครนิวไทเป 132,319 ครั้ง เหมียวลี่ 130,859 ครั้ง แต่หากนับจากความหนาแน่นของฟ้าแลบต่อ ตร. กม. ต้องยกให้เจียอี้ มี 167.4 ครั้งต่อ 1 ตร. กม. ตามด้วยกรุงไทเป 110.5 ครั้งต่อ 1 ตร. กม. ซินจู๋ 96.3 ครั้งต่อ 1 ตร. กม. และหยุนหลิน 86.6 ครั้งต่อ 1 ตร. กม.

    ปี 2566 ไต้หวันมีฟ้าแลบกว่า 10 ล้านครั้ง เมืองที่ธอร์ เทพแห่งสายฟ้าโปรดปรานมากสุดได้แก่หนานโถว ตามด้วยเจียอี้และไถหนาน

              จากข้อมูลพบว่า ช่วงเวลาที่มีฟ้าแลบและฟ้าผ่าบ่อยในไต้หวัน ร้อยละ 80 เกิดขึ้นในช่วงกลางวัน ตั้งแต่เที่ยงวันไปถึงพรบค่ำ 17.00 น. โดยจะเริ่มจากเดือนมีนาคม เดือนพฤษภาคมจะเริ่มพบเห็นมากขึ้น เดือนที่มีฟ้าแลบฟ้าผ่ามากที่สุดได้แก่เดือนสิงหาคม เมื่อถึงกันยายน จะเริ่มเบาบางลง ส่วนช่วงตุลาคมถึงกุมภาพันธ์ของปีถัดไป แทบไม่ค่อยเห็นปรากฏการณ์ฟ้าแลบฟ้าผ่าเลย

    ภาพฟ้าแลบยามค่ำที่เขตปั่นเฉียว นครนิวไทเป (ภาพถ่ายโดย Justin Cheng)

              เมื่อปรากฏฟ้าแลบฟ้าผ่า ซึ่งค่อนข้างอันตราย ผู้เชี่ยวชาญแนะนำสำหรับการป้องกันอันตรายจากการถูกฟ้าผ่าดังนี้ :

            1. หลีกเลี่ยงอยู่กลางแจ้ง ในขณะฝนตกฟ้าคะนอง หากจำเป็นควรนั่งยอง ย่อตัวให้ต่ำและชิดกับพื้นให้มากที่สุด แต่ไม่ควรนอนราบกับพื้น รวมทั้งหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ต้นไม้สูง เสาไฟฟ้า ป้ายโฆษณา เพราะฟ้าผ่าลงที่สูง 

    2. ควรหลบในตัวอาคารที่ติดตั้งสายล่อฟ้า จะช่วยป้องกันอันตรายจากฟ้าผ่าได้ แต่ไม่ควรใช้โทรศัพท์ เปิดคอมพิวเตอร์ เล่นอินเทอร์เน็ต ดูโทรทัศน์ ฟังวิทยุ หรืออยู่ใกล้ประตู หน้าต่างที่มีส่วนประกอบเป็นโลหะในขณะฟ้าร้องฟ้าผ่า 

    3. หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิด เพราะกระแสไฟจากฟ้าผ่าอาจไหลผ่านเครื่องใช้ไฟฟ้า หรือสื่อไฟฟ้าต่างๆ ทำให้เกิดอันตรายขึ้นได้

    นอกจากหนานโถวแล้ว เจียอี้เป็นอีกเมืองที่มีปรากฏการณ์ฟ้าแลบฟ้าผ่าถี่สุดในไต้หวัน ภาพถ่ายจากบนภูเขาอาลีซานที่เจียอี้ (ภาพจาก https://www.facebook.com/alishan.fans)

    4. ไปจับปลากันไหม? ชะโดไทยหรืออันธพาลแห่งทะเลสาบสุริยันจันทรายังครองแชมป์ ปลาต่างถิ่นอื่น อย่างปลาหมอสี ตะเพียน มีแนวโน้มขยายพันธุ์แซงหน้า

              เมื่อวันที่ 5 มีนาคมที่ผ่านมา สื่อไต้หวันรายงานนักตกปลาชาวไต้หวันใช้ลอบดักจับปลาชะโดอ้วนได้ตัวหนึ่ง น้ำหนัก 7.2 กม. ผ่าออกเป็นชะโดตัวเมียไข่เต็มท้อง สันนิษฐานว่า ฝนแล้งมานาน น้ำในทะเลสาบสุริยันจันทราลดลง ประกอบกับช่วงเดือนมีนาคมไปจนถึงกันยายนของทุกปี เป็นฤดูออกไข่และผสมพันธุ์ ปลาตัวเมียออกหากินเพลินหลงตกลงไปในลอบดักปลา จากเรื่องนี้ จึงอยากนำสถานการณ์ปลาต่างถิ่นที่ทะเลสาบสุริยันจันทรามาอัปเดตให้ฟัง

    นักตกปลาชาวไต้หวันใช้ลอบดักจับปลาชะโดอ้วนได้ตัวหนึ่ง น้ำหนัก 7.2 กม. ผ่าออกเป็นชะโดตัวเมียไข่เต็มท้อง

              ทุกวันนี้ ชะโดหรือที่ชาวไต้หวันเรียกปลาเสือ สัตว์น้ำต่างถิ่นในทะเลสาบสุริยันจันทราที่กลายเป็นปัญหาปวดหัวของเมืองหนานโถว เนื่องจากขยายพันธุ์เร็ว เป็นปลากินเนื้อ มีความดุร้าย ปลาตัวอ่อนหรือลูกครอกออกหากินเป็นฝูง ไม่เพียงแต่แย่งอาหารสัตว์น้ำชนิดอื่น ยังกัดกินปลาท้องถิ่น กลายเป็นสัตว์น้ำต่างถิ่นหรือปลาเอเลี่ยนที่เปลี่ยนแปลงระบบนิเวศ ทำให้ปลาท้องถิ่นในทะเลสาบสุริยันจันทราสูญพันธุ์ จนมีการตั้งชื่อว่า อันธพาลแห่งทะเลสาบสุริยันจันทรา กองการเกษตรเมืองหนานโถว ต้องจัดเจ้าหน้าที่ติดอุปกรณ์ช็อตไฟฟ้ากำจัดปลาชะโด แต่ปฏิบัติการกำจัดปลาต่างถิ่นดังกล่าวไม่ค่อยเป็นผล ไม่เพียงแต่ปลาชะโด เท่านั้น ยังมีปลาต่างถิ่นชนิดอื่น ได้แก่ปลาในวงศ์ปลาหมอ อย่างปลาหมอจากัวร์ ปลาหมอสีและปลาตะเพียนเป็นต้น แม้ตัวเล็กกว่า แต่ขยายพันธุ์อย่างรวดเร็ว มีแนวโน้มแซงหน้าชะโด กองการเกษตรเมืองหนานโถว อนุญาตให้นักตกปลาไปตกปลาได้ แต่จำกัดเฉพาะเขตพื้นที่ที่ไม่ส่งผลกระทบต่อการเดินเรือและการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวเท่านั้น หากไปตกในเขตพื้นที่ที่ไม่ได้รับอนุญาต อย่างท่าเรือทั้ง 7 แห่ง ทางเดินและจุดชมวิว ฯลฯ ระวังถูกปรับ 5,000-1,000,000 เหรียญ ส่วนการจับปลาชะโดโดยใช้อุปกรณ์ช็อตไฟฟ้าจะต้องยื่นขอและได้รับอนุญาตก่อน โดยผู้ขอต้องผ่านการฝึกอบรม มีความรู้ทางด้านการจับปลาโดยใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าเท่านั้น

    นายหวงเสียวซื่อ (ซ้ายคนที่ 1) นักตกปลาชาวไต้หวันพร้อมทีมงาน โชว์ปลาตะเพียน (Culter alburnus) ที่จับได้ในทะเลสาบสุริยันจันทรา (ภาพจาก 黃小四)

              ปัจจุบัน เพื่อส่งเสริมให้มีการกำจัดปลาต่างถิ่น ขณะนี้ มีการแนะนำเมนูชะโด ซึ่งที่ผ่านมาคนไต้หวันจะไม่กินปลาชนิดนี้ ปรากฏว่า ชาวไต้หวันจำนวนมากกินแล้วบอกว่า ไม่ถึงกับอร่อยแต่ก็พอรับได้ คาดจะช่วยเป็นแรงจูงใจในการกำจัดปลาต่างถิ่นดังกล่าว

    ในทะเลสาบสุริยันจันทรา ไม่เพียงแต่ชะโดเท่านั้น ปลาต่างถิ่นชนิดอื่น ได้แก่ปลาในวงศ์ปลาหมอ อย่างปลาหมอจากัวร์ ปลาหมอสี ปลาตะเพียนและปลาช่อนไทยเป็นต้น แม้ตัวเล็กกว่า แต่ขยายพันธุ์อย่างรวดเร็ว มีแนวโน้มแซงหน้าชะโด

              สำหรับปลาชะโด นักวิจัยข้อมูลและโครงสร้างชีวภาพจากมหาวิทยาชิงหัว (NTHU) กล่าวว่า เริ่มต้นจากเมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว มีชาวไต้หวันนำเข้ามาจากประเทศไทยเพื่อเลี้ยงเป็นปลาสวยงาม พอนานเข้าผู้เลี้ยงเกิดเบื่อหน่าย และไม่อยากเป็นภาระในการเลี้ยงดู แอบนำไปปล่อยตามแหล่งน้ำธรรมชาติและเขื่อนต่าง ๆ หรือมันหลุดจากบ่อเลี้ยงลงสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ สร้างปัญหาในระบบนิเวศเป็นอย่างมาก ทุกวันนี้ สามารถพบเห็นและจับปลาชะโดตัวอ่อนได้ประมาณ 30-40% จากการจับปลาตามแหล่งน้ำธรรมชาติต่าง ๆ ทั่วไต้หวัน ที่รุนแรงที่สุดได้แก่ที่ทะเลสาบสุริยันจันทรา

    ชะโดไทย ซึ่งได้รับการขนานนามเป็นอันธพาลแห่งทะเลสาบสุริยันจันทรายังครองแชมป์ ปลาต่างถิ่นอื่น อย่างปลาหมอสี ตะเพียน มีแนวโน้มขยายพันธุ์แซงหน้า (ภาพจาก 黃小四)

  • 1.  เห็นด้วยไหม? ไต้หวันติดอันดับ 3 ประเทศที่มีความปลอดภัยสูงและอาชญากรรมน้อยสุดในโลก...

                ท่านที่ทำงาน เรียนหรือตั้งรกรากอยู่ในไต้หวัน มีความรู้สึกบ้างไหมว่า สังคมไต้หวันค่อนข้างจะปลอดภัย กลางคืนสามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้โดยคนเดียว ไม่ว่าจะผู้หญิงผู้ชาย แม้ว่าในระยะไม่กี่ปีนี้ จะมีเหตุการณ์วัยรุ่นไต้หวันบางกลุ่มไม่พอใจแรงงานต่างชาติ อาจด้วยสาเหตุใดก็ตาม แต่โดยรวมแล้ว ไต้หวันยังถือเป็นสังคมที่มีความปลอดภัยมาก ๆ

    ยามค่ำคืนบนถนนหย่งคังเจในกรุงไทเป (ภาพจาก edison.com.tw)

              ความปลอดภัยในสังคม นอกจากดูจากอัตราการก่ออาชญากรรม แนวโน้มตัวเลขคดีอาญาที่เกิดขึ้นในแต่ละปีแล้ว ความรู้สึกปลอดภัยของประชาชนเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก แต่อาจไม่ใช่เพียงแค่ดูสื่อทีวีที่รายงานข่าวอาชญากรรมเพียงไม่กี่ข่าว เพราะการรายงานของข่าวของสื่อเกี่ยวข้องกับความเห็นส่วนตัวของหัวหน้ากองข่าวว่า จะออกข่าวนี้หรือไม่ ที่สำคัญต้องถามความรู้สึกตัวเราเองว่า ในบริเวณรอบที่อยู่อาศัยของเรา เดินเตร่ตามท้องถนนคนเดียวในกลางวันปลอดภัยไหม และกลางคืนล่ะ? กล้าจะเดินบนถนนคนเดียวในยามกลางคืนหรือไม่? ไปซื้อของในร้านสะดวกซื้อตอนกลางคืนคุณรู้สึกปลอดภัยไหม? ทั้ง 2 รายการถูกจัดอยู่ในดัชนีความปลอดภัยเช่นกัน 

    สวนสาธารณะต่าง ๆ ทั่วไต้หวัน ในยามค่ำคืนจะเห็นผู้คนเดินผ่านหรือนั่งเล่นคุยกัน ในภาพเป็นสวนสาธารณะเป่ยปิน เมืองฮัวเหลียน (ภาพจาก www.funhualien.com.tw)

              Numbeo เว็บไซต์ด้านการวิจัยและเป็นฐานข้อมูลด้านคุณภาพชีวิตขนาดใหญ่ ประกาศผลการจัดอันดับดัชนีความปลอดภัยและดัชนีอาชญากรรม(Safety/Crime Index) ของประเทศต่าง ๆ ประจำปี 2023 จากการสำรวจทั่วโลก 142 ประเทศ  ไต้หวันได้คะแนนความปลอดภัย 83.3 ถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 3 ของโลก รองจากกาตาร์และสหรัฐอาหรับอิมิเรสต์ โดยได้คะแนน 85.2 และ 84.9 คะแนน ตามลำดับ ข้อมูลของกระทรวงมหาดไทยไต้หวันพบว่า อาชญากรรมในไต้หวันลดลงติดต่อกันเป็นปีที่ 7 ตั้งแต่ปี 2558-2564 ลดลง 17.99% การลดลงอย่างมากของอาชญากรรมในไต้หวัน มีส่วนเกี่ยวข้องกับการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการสืบสวนสอบสวนและคลี่คลายคดี สวนประเทศที่มีความปลอดภัยอันดับที่ 4-10 ได้แก่ ไอล์ออฟแมน เป็นดินแดนอาณานิคมปกครองตนเองของอังกฤษ โอมาน ฮ่องกง อัลมาเนีย ญี่ปุ่น สวิตเซอร์แลนด์ และบาเรนห์

    ผลสำรวจทั่วโลก 142 ประเทศ ไต้หวันได้คะแนนความปลอดภัย 83.3 ถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 3 ของโลก รองจากกาตาร์และสหรัฐอาหรับอิมิเรสต์ ข้อมูลของกระทรวงมหาดไทยไต้หวัน อาชญากรรมในไต้หวันมี 17.99% ลดลงติดต่อกันเป็นปีที่ 7

              ท่านที่อาศัยอยู่ในไต้หวันหรือที่ไทย ในบริเวณรอบที่อยู่อาศัย ท่านเดินเตร่ตามท้องถนนคนเดียวในกลางวันและยามกลางคืนรู้สึกปลอดภัยไหม? คุณกล้าไปซื้อของในร้านสะดวกซื้อตอนกลางคืนหรือไม่?

    2. ชายไต้หวันต้องเกณฑ์ทหารอายุกี่ปี? จับเบอร์ดำเบอร์แดงเหมือนไทยหรือไม่? ต้องเป็นกี่ปีและได้รับเงินเดือนเท่าไหร่?

              เมื่อวันที่ 25 มกราคมที่ผ่านมา เห็นทหารใหม่ผลัดแรกในปี 2567 จำนวน 250 นาย จากทั้งหมด 670 นายรายงานตัวที่ลานหน้าที่ทำการนครนิวไทเป เพื่อเข้าประจำการรับใช้ชาติเป็นเวลา 1 ปีเป็นรุ่นแรก จากเดิมที่รับใช้ชาติเพียงแค่ 4 เดือน เห็นมีการโกนผมจนโล้นก่อนขึ้นรถ มีแฟนสาว มีญาติมิตรไปส่งที่ไปส่งแสดงความอาลัยอาวรณ์ ก็เลยถือโอกาสนำเรื่องการเกณฑ์ทหารของชายไต้หวันมาเล่าให้ฟัง ว่ามันแตกต่างไปจากการเกณฑ์ทหารของชายไทยหรือไม่? อย่างไร?

    ชายไต้หวันอายุครบ 18 ปีบริบูรณ์ ต้องไปรับใช้ชาติด้วยการตรวจเลือกทหารกองประจำการ หรือเป็นเกณฑ์ทหาร ยกเว้นที่กำลังศึกษาอยู่สามารถนำหลักฐานไปขอผ่อนผันได้ ในภาพเป็นทหารใหม่ผลัดแรกในปี 2567 รายงานตัวที่เขตกวนเถียน นครไถหนาน (ภาพจาก cdns.com.tw)

              ชายไต้หวันที่มีอายุครบ 18 ปีบริบูรณ์ ยกเว้นที่กำลังศึกษาอยู่สามารถนำหลักฐานไปขอผ่อนผันได้ แต่เรียนจบหรือยุติการเรียนเมื่อไหร่ก็ต้องไปรับใช้ชาติทันที ด้วยการตรวจเลือกทหารกองประจำการ หรือที่เราเรียกกันว่า “เกณฑ์ทหาร” แต่ในไต้หวันการตรวจเลือกทหารกองประจำการหรือการเกณฑ์ทหาร จะตรวจเฉพาะสุขภาพร่างกาย ยกเว้นผู้ที่มีร่างกายไม่สมบูรณ์แข็งแรง เช่นอ้วนเกินไป พิการ ทุพพลภาพหรือเป็นโรคที่ไม่สามารถไปเป็นทหารได้ สำหรับชายไต้หวันที่สุขภาพร่างกายปกติสูงต่ำอ้วนผอมทั่วไปต้องเป็นทหารรับใช้ชาติกันทุกคน ไม่มีการไปจับใบดำใบแดงเหมือนอย่างชายไทย จะมีการจับสลากไปประจำการที่กองร้อยและฐานทัพพื้นที่ใดหลังการฝึกเท่านั้น ในอดีตจึงมีชายไต้หวันบางคนหลบทหารด้วยการกินให้ตัวเองอ้วนเกินกำหนด เมื่อผ่านการตรวจร่างกายแล้วค่อยลดน้ำหนักกลับมาเหมือนเดิม ปัจจุบันมีการตรวจสอบเข้มงวด วิธีการทุจริตใช้ไม่ค่อยได้ผลอีกต่อไป

    ในวันที่รายงานตัวก่อนขึ้นรถบัสเข้าค่ายฝึก จะมีกลุ่มป้าที่เป็นช่างตัดผมมาตัดผมให้ทหารใหม่จนเกรียนกันทุกคน

              ในวันที่รายงานตัวก่อนขึ้นรถบัสเข้าค่ายฝึก จะมีกลุ่มป้าที่เป็นช่างตัดผมมาตัดผมให้ทหารใหม่เกรียนพอ ๆ กับโกนเป็นหัวโล้นกันทุกคน บางคนอาจตัดก่อนมารายงานตัว ก็จะถูกตัดใหม่เช่นกัน เพียงแต่ว่าโกนหนวดสะอาดหมดจด ตัดผมให้เกรียนก่อน เวลาคุณป้าช่างตัดผมใช้ปัตตาเลี่ยนตัดใหม่จะได้ไม่เจ็บ เพราะเข้าคิวตัดผมกันเยอะจนปัตตาเลี่ยนร้อนและไม่คม

    สุนักทหารดมกลิ่นกระเป๋าสัมภาระว่ามีสิ่งผิดกฎหมายเช่นยาเสพติด ฯลฯ หรือไม่? ก่อนขึ้นรถบัสเข้าค่ายฝึก

              เมื่อรายงานตัว เช็กชื่อ ตรวจร่างกาย ตรวจสิ่งของสัมภาระและตัดผมเสร็จ จะถูกส่งไปยังศูนย์ฝึกทหารใหม่ เข้ารับการฝึกวิชาทหารพื้นฐานเป็นเวลา 8 สัปดาห์เหมือนกันหมด จากนั้นจะแบ่งให้ไปประจำการตามกองทัพพื้นที่ต่าง ๆ เป็นเวลาอีก 10 เดือนที่เหลือ หากในระหว่างเรียนหนังสือ เคยผ่านการเรียนวิชาทหาร 8 ชม. สามารถนำไปหักระยะเวลาการเป็นทหารได้ 1 วัน แต่สูงสุดห้ามเกิน 30 วัน

    ทหารใหม่ผลัดแรกในปี 2567 จำนวน 125 คน จาก 670 คน รายงานตัวที่ลานหน้าที่ทำการนครนิวไทเป เมื่อ 25 ม.ค. 2567 เพื่อรอรายงานตัวเข้าค่ายฝึกที่ซินจู๋

              เป็นทหารเกณฑ์จะได้รับเงินเดือนไหม? เดิมได้รับเงินเดือนเพียง 6,000 เหรียญ แต่เริ่มจากปีใหม่นี้เป็นต้นไปปรับเพิ่มประมาณ 4 เท่า ระหว่างการฝึก 10 สัปดาห์แรก ทหารกองประจำการจะได้รับเงินเดือนตามระดับชั้น ชั้นน้อยสุด คือพลทหารระดับ 2 ระหว่างฝึกจะได้รับเงินเดือน 10,130 เหรียญ ระดับ 1 ได้รับ 10,910 เหรียญ นายสิบ 12,470 เหรียญ ร้อยตรี 14,360 เหรียญ หลังผ่านการฝึก 2 เดือน จะมีเบี้ยเลี้ยงวิชาชีพเพิ่มขึ้นตามระดับชั้น ต่ำสุด 10,190 เหรียญ รวมกันแล้ว ทหารใหม่ชั้นน้อยสุดคือพลทหารระดับ 2 ได้รับเงินเดือน 20,320 เหรียญ ระดับ 1 ได้รับ 22,040 เหรียญ นายสิบ 26,450 เหรียญ และร้อยตรี 35,560 เหรียญ นอกจากนี้ ตั้งแต่วันแรกที่เป็นทหารกองประจำการ กระทรวงกลาโหมจะเป็นนายจ้างเอาประกันภัยทหารและจ่ายเงินเข้ากองทุนบำนาญให้ทหารใหม่ทุกคนในอัตราร้อยละ 6 นำไปรวมกับเงินบำนาญหลังปลดประจำการเข้าทำงานในตลาดแรงงานได้ ทหารใหม่จะจ่ายเพิ่มเองก็ได้ในอัตราไม่เกิน 6% สามารถเบิกถอนเงินบำนาญดังกล่าวหลังจากอายุครบ 60 ปีแล้ว เหมือนกับผู้ใช้แรงงานทั่วไป

    ปี 2567 เป็นต้นไป ทหารใหม่ของไต้หวันต้องผ่านการฝึกหนักขึ้นเป็นเวลา 10 สัปดาห์ ก่อนจะแบ่งไปประจำการตามกองร้อย ๆ จนครบ 1 ปี

              ในยามปกติ ทหารใหม่ในไต้หวันหลังผ่านการฝึก 10 สัปดาห์ ได้รับการแบ่งไปประจำการตามกองร้อย ๆ จะมีวันหยุดสุดสัปดาห์ 2 วันเหมือนแรงงานทั่วไป ในวันหยุดส่วนใหญ่จะกลับบ้าน แต่วันจันทร์ถึงวันศุกร์ต้องนอนและใช้ชีวิตอยู่ในค่ายทหาร เมื่อครบ 1 ปี ปลดประจำการเป็นทหารกองหนุน อาจถูกเรียกพลเข้าค่ายรับการฝึกอบรมเป็นเวลา 2 สัปดาห์อีก จนกว่าจะพ้นอายุ 36 ปี หากเป็นพลทหารทั่วไป และจะเพิ่มอายุมากขึ้นตามแต่ระดับยศ แต่หากอยากสมัครเป็นทหารอาชีพต่อไปก็ได้ เซ็นสัญญาครั้งละ 5 ปี เงินเดือนประมาณ 40,000 เหรียญ รวมเบี้ยเลี้ยงต่าง ๆ ประมาณ 50,000-60,000 เหรียญ ที่สำคัญจะมีเงินโบนัสและเงินบำนาญก้อนหนึ่งหลับครบสัญญา และการเป็นทหาร ไม่ต้องเสียค่าอยู่ค่ากิน ใช้ชีวิตอย่างมีระเบียบวินัยและเก็บเงินได้ กระนั้นก็ตาม ชายไต้หวันส่วนใหญ่ไม่อยากเป็นทหาร ยิ่งในสถานการณ์ตึงเครียด ต้องการปลดประจำการแล้วหางานทำหรือเรียนต่อ และสิ่งที่ชายไต้หวันที่มีแฟนจำนวนไม่น้อยกลัวเกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า ปิงเปี้ยน (兵變) คำนี้หมายถึงทหารที่ก่อรัฐประหาร แต่แปลตรง ๆ ตามตัวหนังสือ ก็สามารถตีความได้ว่า เกิดการเปลี่ยนแปลงระหว่างที่เป็นทหาร ซึ่งหมายถึงระหว่างที่ไปเป็นทหาร แฟนอาจไปมีแฟนใหม่ ฉะนั้น คำนี้จึงนิยมนำมาใช้กับทหารใหม่ ระหว่างไปเป็นทหาร ไม่ได้อยู่ใกล้ชิด ทำให้แฟนสาวไปมีแฟนใหม่

    สิ่งที่ทหารใหม่ของไต้หวันกลัวที่สุด คือระหว่างไปเป็นทหาร แฟนสาวไปมีแฟนใหม่

  • 1. ลมหนาวมาอีกแล้ว!  วันอังคารหน้าลมหนาวกำลังแรงลูกใหม่มาเยือน ภาคเหนืออุณหภูมิลดฮวบแตะ 11°C

          ช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมาอากาศในไต้หวันร้อนขึ้นมาก โดยเฉพาะทางภาคใต้อุณหภูมิสูงถึง 35 องศาเซลเซียส หลายคนต้องเอาพัดลมออกมาเปิดกันแล้ว แต่ช่วงปลายสัปดาห์อากาศเย็นลง เริ่มจากวันจันทร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ อิทธิพลจากลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือที่ทวีกำลังขึ้นจะส่งผลให้ ภาคเหนืออุณหภูมิต่ำสุดลดเหลือ 14 -15 องศาเซลเซียส ประกอบกับมวลอากาศหนาวจากจีนแผ่นดินใหญ่ที่เคลื่อนลงมาปกคลุม ส่งผลให้วันอังคารที่ 27 กุมภาพันธ์ ภาคเหนือมีอุณหภูมิต่ำแตะ 11 องศาเซลเซียส วันพุธที่ 28 กุมภาพันธ์ อากาศอบอุ่นขึ้น แต่วันพฤหัสบดีที่ 29 กุมภาพันธ์ ลมหนาวกำลังแรงลูกใหม่พัดลงมาปกคลุมไต้หวันอีกครั้ง ส่งให้สภาพอากาศหนาวเย็นลงอีก ดังนั้นคนชรา เด็กและผู้ที่ร่างกายอ่อนแอหรือมีโรคเรื้อรังประจำตัว ต้องดูแลสุขภาพ สวมใส่เสื้อผ้าให้เหมาะกับสภาพอากาศ ดูแลรักษาความอบอุ่นให้แก่ร่างกายและพักผ่อนให้เพียงพอ ร่างกายจึงจะมีภูมิคุ้มกัน โรคระบาดทั้งหลายจะได้ไม่เข้ามากล้ำกราย

    หลังหยุดยาวเทศกาลตรุษจีน โรคในระบบทางเดินหายใจระบาดหนักขึ้น  นอกจากโควิด -19 และไข้หวัดใหญ่แล้ว ยังมีผู้ป่วยที่ติดเชื้อไมโคพลาสมาแบคทีเรียและอะดีโนไวรัส คลินิกและแผนกฉุกเฉินมีผู้ป่วยเนืองแน่น (ภาพจาก udn.com)

    2. รู้หรือยัง? ที่มาของวันหยุดเนื่องในโอกาสรำลึกวันสันติภาพ  28 กุมภาพันธ์

          วันพุธที่ 28 กุมภาพันธ์นี้เป็นวันครบรอบ 77 ปีเหตุโศกนาฏกรรม 28 กุมภาพันธ์ ถือเป็นวันหยุดราชการ หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนได้หยุดงาน 1 วันเพื่อนผู้ฟังที่ทำงานอยู่ในโรงงานหรือไซต์งานก่อสร้างในไต้หวันก็จะได้หยุดกันด้วย หากนายจ้างให้เข้าทำงานก็จะได้รับเงินค่าจ้างล่วงเวลาหรือโอทีให้ สำหรับผู้ผู้อนุบาลในครัวเรือนเป็นไปตามข้อตกลงระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง ตามธรรมเนียมปฏิบัติในวันนี้หน่วยงานภาครัฐในหลายเมืองจะมีการจัดพิธีรำลึกเหตุโศกนาฏกรรม 28 กุมภาพันธ์ อย่างในกรุงไทเปจะจัดกิจกรรมรำลึกที่สวนสาธารณะสันติภาพ 28 กุมภาพันธ์ โดยที่ผ่านมา ผู้นำรัฐบาลจะเดินทางไปเป็นประธานในพิธีและร่วมไว้อาลัยกับญาติผู้เสียชีวิต     

    หลายเมืองมีการจัดพิธีรำลึกเหตุโศกนาฏกรรม 28 กุมภาพันธ์ (ภาพจาก Chinatimes)

           ทั้งนี้ เหตุการณ์โศกนาฏกรรม 28 ก.พ.เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1947 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่รัฐบาลพรรคก๊กมินตั๋งเพิ่งจะเข้ามารับการถ่ายโอนอำนาจบริหารไต้หวันจากรัฐบาลญี่ปุ่นที่แพ้สงครามโลก ชนวนเหตุเกิดจากพ่อค้าขายบุหรี่ผิดกฎหมายขัดขืนการจับกุมของเจ้าหน้าที่ทำให้เกิดการต่อสู้กันมีผู้เสียชีวิต 1 ราย นำไปสู่การลุกฮือขึ้นต่อต้านอำนาจการปกครองรัฐบาลพรรคก๊กมินตั๋งในหลายเมือง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตประมาณ 3,200 คน (สถิติของกองบัญชาการตำรวจไต้หวัน 台灣警備司令部)

    อนุสาวรีย์รำลึโศกนาฏกรรม 28 กุมภาพันธ์ ภายในสวนสาธารณะสันติภาพในกรุงไทเป (ภาพจากกระทรวงวัฒนธรรม)

    3. ตะลึง ! ไต้หวันเผชิญปัญหาแพทย์อายุมาก แพทย์ที่มีอายุกว่า 100 ปี ยังทำงานอยู่ถึง 10 คน

          ไต้หวันเผชิญปัญหาสังคมชราภาพและภาวะเด็กเกิดน้อย โดยข้อมูล ณ สิ้นปี 2566 พบว่าไต้หวันมีอัตราการเกิดต่ำที่สุดในโลก ในขณะที่สัดส่วนของประชากรสูงวัยมีเกือบถึงร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด และกำลังจะถูกจัดเป็นสังคมสูงวัยระดับสุดยอด (Super-aged society ) จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการสังคมระบุว่า  ปี 2566  ผู้สูงวัยที่มีอายุตั้งแต่ 65 ปีขึ้นไป มีจำนวน 4.23 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 18.1 ของประชากรทั้งหมด ในจำนวนนี้เป็นผู้ที่มีอายุมากกว่า 100 ปีขึ้นไป 5,011คน ลดลงจากปี 2565 65 คน แต่หากเทียบกับ 10 ปีที่แล้วเพิ่มขึ้น 2 เท่าตัว ในจำนวนนี้เป็นเพศชาย 1,975 คน เพศหญิง 3,036 คน

    ไต้หวันเผชิญปัญหาแพทย์อายุมาก ยังมีแพทย์ที่อายุกว่า 100 ปี ยังทำงานอยู่ 10 คน (ภาพจาก PNN)

              สมาคมแพทย์ไต้หวัน (Taiwan Medical Association)  เปิดเผยว่า นอกจากเผชิญกับปัญหาประชากรสูงวัยเพิ่มขึ้นแล้ว ไต้หวันยังเผชิญกับปัญหาแพทย์มีอายุเพิ่มมากขึ้นโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 51.5 ปี  และที่ทำให้คนตกตะลึงคือยังมีแพทย์ที่มีอายุมากกว่า 100 ปีและยังทำงานอยู่ 10 คน หากแบ่งตามสาขา พบว่าแพทย์ในทุกสาขามีอายุเฉลี่ยสูงกว่า 50 ปีทั้งนั้นยกเว้นแพทย์รังสีรักษาและแพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉินที่อายุเฉลี่ยต่ำกว่า 50 ปีคือ 48.2 ปี และ 46.9 ปี ตามลำดับ และแพทย์สูตินรีเวชและแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวมีอายุเฉลี่ยมากที่สุดคือ 54 ปี รองลงมาคือจักษุแพทย์เฉลี่ย 53.7 ปี

    แพทย์ไต้หวันมีอายุเฉลี่ย 51.5 ปี แพทย์สูตินรีเวชและแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวมีอายุเฉลี่ยมากที่สุดคือ 54 ปี (ภาพจาก udn.com)

    4. ชวนชมเทศกาลโคมไฟไต้หวัน 2024 จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ฉลองวาระครบรอบ 400 ปีนครไถหนาน  

              หลังผ่านวันตรุษจีนไปแล้ว การเฉลิมฉลองสำคัญอีกรายหนึ่งที่ถือเป็นการปิดฉากเทศกาลตรุษจีนประจำปี ก็คือเทศกาลโคมไฟ หรือเทศกาลหยวนเซียว (元宵節) ซึ่งมีการจัดงานนี้แทบทุกเมืองทั่วไต้หวัน แต่ที่เป็นงานใหญ่ระดับประเทศจัดโดยกรมส่งเสริมการท่องเที่ยว หมุนเวียนกันไปในแต่ละเมือง ได้แก่เทศกาลโคมไฟไต้หวัน ปีนี้เวียนกลับมาจัดที่ไถหนานอย่างยิ่งใหญ่อีกครั้งในรอบ 16 ปี เนื่องจากเป็นปีมังกรทองที่เชื่อว่ามีความเป็นสิริมงคลยิ่ง ประกอบกับเป็นการเฉลิมฉลองในวาระครบรอบ 400 ปีแห่งการก่อตั้งนครไถหนาน

    เทศกาลโคมไฟไต้หวัน 2024 จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ฉลองวาระครบรอบ 400 ปีนครไถหนาน (ภาพจาก smiletaiwan.cw.com.tw)

              เทศกาลโคมไฟไต้หวัน 2024 ที่ไถหนาน จัดขึ้น 2 โซน ได้แก่ โซนโคมไฟหลัก ภายใต้คอนเซ็ปต์นักษัตรปีมังกร “Dragon Comes to Taiwan” จัดแสดงที่หน้าสถานีรถไฟความเร็วสูงไถหนาน ในธีม “Glorious Tainan” ระหว่างวันเสาร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 10 มีนาคม 2567 และโซนเขตอันผิง ในธีมไถหนาน 400 ปี “Tainan 400 years”  ที่เน้นการถ่ายทอดเรื่องราวประวัติศาสตร์ความเป็นมา และวิวัฒนาการสู่ความรุ่งโรจน์ของนครไถหนาน จัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 3 กุมภาพันธ์ ไปสิ้นสุดในวันเดียวกันคือ 10 มีนาคม 2567

    โซนโคมไฟหลัก ภายใต้คอนเซ็ปต์นักษัตรปีมังกร “Dragon Comes to Taiwan” จัดแสดงที่หน้าสถานีรถไฟความเร็วสูงไถหนาน ในธีม “Glorious Tainan”(ภาพจาก udn.com)

              เชิญชวนเพื่อชาวไทยไปเที่ยวกัน รับรองไม่ผิดหวัง นอกจากได้เพลิดเพลินไปกับงานจัดแสดงโคมไฟมังกรอันตระการตาแล้ว ยังได้สัมผัสการแสดงที่น่าตื่นตาตื่นใจ พร้อมทั้งสามารถแลกรับโคมไฟมังกรเป็นของที่ระลึกติดมือกลับบ้านได้อีกด้วย

    สถานที่จัดการแสดงโคมไฟ :

    1. โซนการแสดงเขตอันผิง ในธีมไถหนาน 400 ปี “Tainan 400 years” (Anping Display Zone)

    บริเวณ Lin Mo Niang Park 1661 พิพิธภัณฑ์เรือรบไต้หวัน Anping Recreational Wharf และทางเดินเลียบคลอง Anping Canal

    เวลาจัดแสดง : วันที่ 3 ก.พ. - 10 มี.ค. 2567 แสดงโคมไฟทุกคืนเวลา 17:00 – 22:00 น.

    เทศกาลโคมไฟไต้หวัน 2024 จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ ฉลองวาระครบรอบ 400 ปีนครไถหนาน (ภาพจาก smiletaiwan.cw.com.tw)

    2. โซนแสดงโคมไฟหลัก หน้าสถานีรถไฟความเร็วสูงไถหนาน (HSR Display zone) ในธีม “Glorious Tainan”

    บริเวณ ICC TAINAN ข้างสถานีรถไฟความเร็วสูงไถหนาน และ ศูนย์พัฒนาเทคโนโลยีด้านพลังงานสีเขียว (The Green Energy Technology Demonstration Site)

    เวลาจัดแสดง : วันเสาร์ที่ 24 ก.พ. – 10 มี.ค. 2567 แสดงโคมไฟทุกคืน เวลา 17:00 – 22:00 น.

    โซนแสดงโคมไฟพลังงานสีเขียวในงานเทศกาลโคมไฟไต้หวัน 2024  ที่ไถหนาน (ภาพจาก smiletaiwan.cw.com.tw)

    5. พลาดไม่ได้! นิทรรศการกล้วยไม้โลกครั้งที่ 23 และนิทรรศการกล้วยไม้นานาชาติไต้หวันครั้งที่ 20 ระหว่าง 24 ก.พ. – 10 มี.ค. 67 ที่ไถหนาน

              ใครที่ไปเที่ยวชมเทศกาลโคมไฟไต้หวันซึ่งปีนี้จัดขึ้นที่นครไถหนานแล้ว อย่าลืมแวะไปชมความสวยงามในนิทรรศการกล้วยไม้โลกครั้งที่ 23 และนิทรรศการกล้วยไม้นานาชาติไต้หวันครั้งที่ 20 ซึ่งจัดขึ้นที่นครไถหนานและในเวลาพร้อม ๆ กับงานเทศกาลโคมไฟ คือระหว่าง 24 ก.พ. – 10 มี.ค. 67 เรียกได้ว่า ไปไถหนานที่เดียวได้ชมหลายงาน

    ชวนชมนิทรรศการกล้วยไม้โลกครั้งที่ 23 และนิทรรศการกล้วยไม้นานาชาติไต้หวันครั้งที่ 20 ระหว่าง 24 ก.พ. – 10 มี.ค. 67 ที่ไถหนาน (ภาพจาก FB : Tainan Today)

               เมื่อพูดถึงกล้วยไม้แล้ว ในหลายประเทศรวมถึงไทยมีการปลูกและส่งออกกล้วยไม้ แต่ไต้หวันได้รับการยกย่องว่าเป็นเกาะแห่งกล้วยไม้จริง ๆ เนื่องจากมีกล้วยไม้มากกว่า 400 สายพันธุ์ คิดเป็น 1 ใน 10 ของพืชพรรณตระกูลกล้วยไม้ที่มีอยู่ราว 4,600 สายพันธุ์ จงซือเหวิน (鐘詩文) ผู้ช่วยนักวิจัย สถาบันวิจัยป่าไม้ไต้หวัน (Taiwan Forestry Research Institute) ผู้เขียนหนังสือ The Hidden Treasures of Taiwan’s Wild Orchids กล่าวว่า เมล็ดกล้วยไม้มีน้ำหนักเบามาก มักจะถูกพัดพามาไต้หวันโดยลมประจำฤดูหรือไต้ฝุ่นจากประเทศที่อยู่รอบข้าง ไต้หวันจึงเป็นแหล่งรวมของการแลกเปลี่ยนยีน ด้วยภูมิประเทศที่มีความหลากหลาย และมีพื้นที่ที่อยู่ในระดับความสูงของน้ำทะเลที่แตกต่างกัน ทำให้เป็นแหล่งที่เพาะพันธุ์และเหมาะสมกับการเจริญเติบโตของพืชพันธุ์ต่าง ๆ ด้วยเหตุนี้ จึงส่งผลให้ไต้หวันเป็นดินแดนที่มีกล้วยไม้หลากหลายสายพันธุ์มากที่สุดอันดับต้น ๆ ของโลก และทำให้ไต้หวันกลายเป็นแหล่งผลิตกล้วยไม้ใหญ่ที่สุดของโลกด้วย

    ชวนชมนิทรรศการกล้วยไม้โลกครั้งที่ 23 และนิทรรศการกล้วยไม้นานาชาติไต้หวันครั้งที่ 20 ระหว่าง 24 ก.พ. – 10 มี.ค. 67 ที่ไถหนาน (ภาพจาก FB : Tainan Today)

              ทั้งนี้กล้วยไม้ที่ไต้หวันผลิตและส่งออกมากที่สุดได้แก่ สายพันธุ์ฟาแลนนอปซิส สายพันธุ์ดั้งเดิมเป็นกล้วยไม้ป่า ทั่วโลกมีทั้งหมดกว่า 50 สายพันธุ์ ในไต้หวันพบ 2 สายพันธุ์ ได้แก่ ฟาแลนนอปซิสสีขาว (Phalaenopsis amabilis var. formosana) พบมากที่ภูเขาสูงตั้งแต่ 800 เมตรขึ้นไป อีกสายพันธุ์หนึ่งคือ ฟาแลนนอปซิสสีชมพูอมม่วงอ่อน ๆ (Phalaenopsis equestris Schauer Rchb. F.)

    ชวนชมนิทรรศการกล้วยไม้โลกครั้งที่ 23 และนิทรรศการกล้วยไม้นานาชาติไต้หวันครั้งที่ 20 ระหว่าง 24 ก.พ. – 10 มี.ค. 67 ที่ไถหนาน (ภาพจาก FB : Tainan Today)

                อย่างไรก็ตามในปัจจุบันกล้วยไม้ป่าแทบหาไม่ได้แล้ว และกล้วยไม้ฟาแลนนอปซิสที่ส่งออกไปจำหน่ายต่างประเทศ เป็นสายพันธุ์ที่พัฒนาเพื่อใช้ปลูกเลี้ยงเชิงพาณิชย์ แหล่งเพาะปลูกกล้วยไม้ที่สำคัญของไต้หวันอยู่ในเขตภาคกลางและภาคใต้ ได้แก่ไทจง หนานโถว เจียอี้และไถหนาน ในจำนวนนี้ไถหนานเป็นแหล่งเพาะปลูกกล้วยไม้ที่ใหญ่ที่สุด มีผลผลิตมากกว่าครึ่งหนึ่งของทั้งประเทศ ส่วนใหญ่เป็นพันธุ์ฟาแลนนอปซิส รองลงมาคือ กล้วยไม้สกุลออนซิเดียม (ตุ๊กตาเริงระบำ) ในแต่ละปีมีการจัดงานแสดงสินค้ากล้วยไม้นานาชาติไต้หวัน (Taiwan International Orchid Show) ถือเป็น 1 ใน 3 งานใหญ่ของโลก จัดพร้อมกับงานนิทรรศการกล้วยไม้โลกครั้งที่ 23 (World Orchid Conference and Exhibition) หรือที่เรียกว่า “Olympics of the Orchid World” เป็นครั้งแรกที่มีสองกิจกรรมสำคัญในอุตสาหกรรมกล้วยไม้โลกจะจัดขึ้นพร้อม ๆ กัน

    ชวนชมนิทรรศการกล้วยไม้โลกครั้งที่ 23 และนิทรรศการกล้วยไม้นานาชาติไต้หวันครั้งที่ 20 ระหว่าง 24 ก.พ. – 10 มี.ค. 67 ที่ไถหนาน (ภาพจาก FB : Tainan Today)

              ใครที่สนใจและชื่นชอบความสวยงามของกล้วยไม้ แวะไปชมกันได้ งานนี้ต้องซื้อบัตร ซึ่งจัดขึ้น 2 แห่ง ได้แก่

    1. สวนเทคโนโลยีชีวภาพกล้วยไม้ไต้หวัน (Taiwan Orchid Technology Park) เลขที่ 325 หมู่บ้านอูซู่หลิน เขตโห้วปี้ นครไถหนาน (臺南市後壁區長安里烏樹林325號) มีรถรับส่งจากสถานีรถไฟโห้วปี้ไปยังสถานที่จัดงาน

    2. ศูนย์การประชุมและนิทรรศการ (ICC TAINAN) เลขที่ 3 ถนนกุยเหริน 12, เขตกุยเหริน ไถหนาน(臺南市歸仁區歸仁十二路3號)เดินจากสถานีรถไฟซาหลุนหรือสถานีรถไฟความเร็วสูงประมาณ 3 นาที

    หรืออ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์งานแสดงสินค้ากล้วยไม้นานาชาติไต้หวัน https : tios.tw/

    ผังแสดงพื้นที่จัดงานนิทรรศการกล้วยไม้โลกครั้งที่ 23 และนิทรรศการกล้วยไม้นานาชาติไต้หวันครั้งที่ 20 ระหว่าง 24 ก.พ. – 10 มี.ค. 67 ที่ไถหนาน

  • 1. อย่าเพิ่งเก็บเสื้อกันหนาว  หลังหยุดยาวตรุษจีนอากาศอบอุ่นขึ้นแต่จะยังมีลมหนาวมาเยือนอีกหลายระลอก

         วันหยุดยาวช่วงเทศกาลตรุษจีนผ่านพ้นไปแล้ว แต่เทศกาลตรุษจีนยังไม่ผ่านพ้นไป ต้องรอจนถึงวันที่ 15 เดือน 1 ตามปฏิทินจันทรคติจีน (ปีนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ 24 กุมภาพันธ์) ซึ่งถือเป็นเทศกาลโคมไฟ หลังจากเฉลิมฉลองเทศกาลโคมไฟกันแล้ว จึงถือว่าสิ้นสุดเทศกาลตรุษจีนและถือว่าเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิอย่างเต็มตัว อากาศจะเริ่มอบอุ่นขึ้นเรื่อยๆ แต่อย่าเพิ่งเก็บเสื้อกันหนาวเพราะจะยังคงมีลมหนาวจากจีนแผ่นดินใหญ่แผ่ลงมาปกคลุมเป็นระลอกๆ อย่างไรก็ตามจะไม่เย็นยะเยือกเหมือนช่วงเดือนมกราคมอีกแล้ว

    ช่วงตรุษจีนคนไต้หวันเดินทางท่องเที่ยวกันอย่างคึกคัก ทั้งท่องเที่ยวต่างประเทศและในประเทศ สนามบินมีผู้โดยสารเนืองแน่น (ภาพจาก chinatimes.com)

              ในช่วงตรุษจีนคนไต้หวันเดินทางท่องเที่ยวกันอย่างคึกคักทั้งท่องเที่ยวต่างประเทศและในประเทศ ทำให้การจราจรทั้งทางบกทางอากาศแออัดมาก คนล้นสนามบินทุกวัน ทางด่วนและทางหลวงโดยเฉพาะในแหล่งท่องเที่ยวรถติดยาวเหยียด แต่มีคนกลุ่มหนึ่งเลือกพักผ่อนอยู่กับบ้าน นอนดูซีรีส์ เล่นเกม เล่นมือถือ แช็ตหรือโทรคุยกับเพื่อน แทนการออกไปเบียดเสียดกับผู้คน และพูดถึงมือถือ ในยุคปัจจุบัน ได้กลายเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวันที่ขาดไม่ได้เลย

    2. ใครซื้อและถูกบ้าง? แรงงานเวียดนามที่ซินจู๋ซื้อหวยขูด ถูก 1 ล้านเหรียญ ดีใจมากรับรางวัลเงินสดไล่แจกทุกคนในร้านคนละ 1,000 เหรียญ

              ช่วงเทศกาลตรุษจีนที่ผ่านมา กิจกรรมยอดฮิตอย่างหนึ่งในไต้หวัน คือการเสี่ยงโชคด้วยการซื้อล็อตโต้และหวยขูด ซึ่งมีราคาตั้งแต่ใบละ 50 เหรียญ, 100 เหรียญ, 500 เหรียญ, 1,000 เหรียญและ 2,000 เหรียญ ไม่ทราบว่ามีใครเคยซื้อและถูกบ้างไหมเอ่ย?

              ที่ตำบลหูโข่ว เมืองซินจู๋ มีแรงงานเวียดนามคนหนึ่ง ไปเที่ยวกับเพื่อน ผ่านร้านขายล็อตโต้ เหลือบไปเห็นเทพแห่งโชคลาภในร้านมีความรู้สึกกำลังยิ้มให้ตน จึงเข้าไปในร้านและซื้อหวยขูดชนิดใบละ 1,000 เหรียญ ปรากฏว่าขูดถูกรางวัลเงินสด 1,000,000 เหรียญ ทางร้านจ่ายเป็นเงินสดให้ทันที (หักภาษี 20% ตามกฎหมายแล้ว) แรงงานเวียดนามรายนี้ดีใจมาก หลังรับเงิน เอาแบงก์พันออกมาปึกหนึ่ง ไล่แจกทุกคนในร้าน รวมทั้งพนักงานขายด้วย คนละ 1,000 เหรียญ ดีใจกันถ้วนหน้า

    แรงงานเวียดนามรายนี้โชคดี ซื้อหวยขูดใบละพัน 1 ใบ ขูดถูก 1,000,000 เหรียญไต้หวัน

    ดึงเอาแบงก์พันออกมาปึกหนึ่ง ไล่แจกทุกคนในร้าน รวมทั้งพนักงานขายด้วย คนละ 1,000 เหรียญ ดีใจกันถ้วนหน้า

    ดึงเอาแบงก์พันออกมาปึกหนึ่ง ไล่แจกทุกคนในร้าน รวมทั้งพนักงานขายด้วย คนละ 1,000 เหรียญ ดีใจกันถ้วนหน้า

              คำเตือน : ล็อตโต้และหวยขูด เล่นกันสนุก ๆ ได้ แต่อย่าซื้อมากจนติดกันงอมแงม ทำให้เงินที่จะส่งกลับบ้าน หรือค่าใช้จ่ายของครอบครัวหดหาย เพราะโอกาสจะถูกรางวัล มันไม่ง่ายอย่างคิด

    3. พบคนไต้หวันเกิน 90 % ใช้ LINE โทรคุยกัน เฉลี่ยวันละ 62.8 นาที

    ไตรมาสที่ 3 ของปี 2566 ไต้หวันมีผู้ใช้โทรศัพท์มือถือทั้งสิ้น 30.107 ล้านเครื่อง มากกว่าจำนวนประชากรทั้งสิ้น  23.5 ล้านคน (ภาพจาก epochtimes.com)

       จากข้อมูลของคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (National Communications Commission : NCC) ของไต้หวันระบุว่า ณ ไตรมาสที่ 3 ของปี 2566 ที่ผ่านมา ไต้หวันมีผู้ใช้โทรศัพท์มือถือทั้งสิ้น 30.107 ล้านเครื่อง ในขณะที่ประชากรไต้หวันมีประมาณ 23.5 ล้านคน แบ่งเป็นผู้ใช้ระบบ 4G จำนวน 22.076 ล้านเครื่อง และระบบ 5G จำนวน 8.031 ล้านเครื่อง ในจำนวนนี้ผู้ใช้มือถืออายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไปนิยมโทรฟรีผ่านแอปพลิเคชัน 98.9% (ในจำนวนนี้ 99.1% ใช้ LINE) โดยใช้เวลาโทร 62.8 นาที/วัน ในขณะที่โทรผ่านเครือข่ายที่ให้บริการมือถือ 13.8 นาที/วัน  นอกจากนี้ยังมีการใช้ Facebook Messenger , WeChat ,FaceTime และ Skype บ้างเล็กน้อย

    คนไต้หวันนิยมใช้ LINE โทรคุยกัน เฉลี่ยวันละ 62.8 นาที (ภาพจาก Rti)

             ในส่วนของช่องทางการรับข้อมูลข่าวสารพบว่า ผู้ใช้มือถือ 72.6% รับข่าวสารจากข่าวของสถานีโทรทัศน์ รองลงมาคือเสิร์ชเอนจินหรือโปรแกรมที่ช่วยในการสืบค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต อย่าง Yahoo ,Google และLINE TODAY ในอัตราส่วน 41.5 %  นอกจากนี้ 38.3% รับข่าวสารผ่านทางสื่อโซเชียลอย่าง Facebook และLINE

    ในยุคปัจจุบัน มือถือได้กลายเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวันที่ขาดไม่ได้เลย (ภาพจาก chinatimes.com)

    4. เคยไปหรือยัง? ชวนไปไหว้พระแสวงบุญวัดจงไถฉานซื่อที่เมืองหนานโถว วัดพุทธที่ใหญ่และสูงสุดอันดับ 2 ของโลก แรงงานไทยมีส่วนร่วมสร้าง

              คนไทยที่ทำงาน พำนักอาศัยหรือศึกษาอยู่ในไต้หวัน ไม่ทราบว่าเคยไปไหว้พระขอพรที่วัดจงไถฉานซื่อในเมืองหนานโถวหรือยัง? อยู่ใกล้ทะเลสาบสุริยันจันทรา หากยังควรหาโอกาสไปให้ได้ หรือใครที่เคยไปมาแล้ว หลังฟังรายการในวันนี้ ควรกลับไปสักการบูชาอีกครั้ง ท่านจะอิ่มเอมไปด้วยผลบุญ จากการที่เข้าใจและทราบเรื่องราวของวัดนี้มากขึ้น

    ภาพถ่ายวัดจงไถฉานซื่อจากมุมสูง

              วัดจงไถฉานซื่อ (中台禪寺) หรืออีกชื่อหนึ่งคือวัดจงไถซาน (中台山)  เพราะตั้งอยู่บนเนินเขาจงไถซาน ตัวอาคารมหาวิหารสูง 136 ม. มี 37 ชั้น จัดเป็นวัดพุทธที่สูงที่สุดในไต้หวันและอันดับ 2 ของโลก รองจากพระเจดีย์เทียนหนิงที่เมืองฉางโจว มณฑลเจียงซู จีนแผ่นดินใหญ่ หากมองจากด้านข้างจะเห็นได้ว่า ตัวอาคารเชื่อมต่อกันเป็นรูปทรงของพระพุทธรูปปางสมาธิ สร้างเสร็จสมบูรณ์ในเดือนกันยายน ปี พ.ศ. 2544 ออกแบบโดยสถาปนิกชื่อดังชาวไต้หวันที่มีผลงานการออกแบบสิ่งก่อสร้างชื่อดังทั่วโลก รวมทั้งเป็นผู้ออกแบบตึกไทเป 101 นั่นคือ หลีจู่หยวน หรือ C.Y. Lee ใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 10 ปีด้วยเงินบริจาคกว่าหมื่นล้านเหรียญ บริษัทที่รับเหมาก่อสร้างนำเข้าแรงงานไทยหลายร้อยคนมาร่วมงานก่อสร้างด้วย หลังก่อสร้างแล้วเสร็จ วัดจงไถฉานซื่อเคยได้รับรางวัลสถาปัตยกรรมดีเด่นของไต้หวันประจำปี 2545 และรางวัลการออกแบบแสงนานาชาติประจำปี 2546 ถูกจัดเป็น 1 ใน 4 ของวัดพุทธขนาดใหญ่ในไต้หวัน อีก 3 วัดได้แก่ วัดโฝกวงซาน วัดฝากู่ซานและวัดพุทธฉือจี้

    วัดจงไถฉานซื่อ ตัวอาคารมหาวิหารสูง 136 ม. มี 37 ชั้น จัดเป็นวัดพุทธที่สูงที่สุดในไต้หวันและอันดับ 2 ของโลก (ภาพจากวัดจงไถฉานซื่อ)

              ปัจจุบันเฉพาะวัดจงไถซานซื่อที่หนานโถวมีพระภิกษุสงฆ์และภิกษุณี นิกายพุทธมหายานประมาณ 800 รูป นอกจากเป็นที่สักการบูชาหรือพุทธสถานสำหรับการจาริกแสวงบุญของชาวพุทธทั้งในไต้หวันและทั่วโลกแล้ว ยังเป็นมหาวิทยาลัยสงฆ์ที่มีห้องเรียนหลายพันห้องเพื่อให้พระสงฆ์ได้ศึกษาพระธรรมและได้ชื่อว่าเป็นวัดที่ทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก มีวัดสาขาตั้งอยู่หลายประเทศทั่วโลก 108 สาขา อย่างวัด OSAKA Pudongzen Temple ในญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา รวมทั้งวัดจงไถซานสาขากรุงเทพฯ ในประเทศไทย

    ภายในวัดมีพระธรรมคัมภีร์ พระพุทธรูปมากมาย (ภาพจากวัดจงไถฉานซื่อ)

              เจ้าอาวาสผู้ก่อตั้งวัดจงไถฉานซื่อ ได้แก่พระธรรมาจารย์เหวยเจวี๋ย (惟覺老和尚) ท่านได้มรณภาพไปแล้วเมื่อวันที่ 16 เมษายน 2559 สิริอายุ 88 ปี หลังท่านได้ออกบวชและเผยแพร่พระธรรมคำสอนของศาสนาพุทธเป็นเวลา 53 พรรษา และวัดจงไถฉานซื่อภายใต้การบริหารของท่าน มีการขยายเติบโตใหญ่มาก นอกจากตัวอาคารซึ่งเป็นมหาวิหารแล้ว ยังมีพิพิธภัณฑ์จงไถซาน พิพิธภัณฑ์ศาสนาโลก (中台世界博物館 - Chung Tai World Museum) บนพื้นที่ 9 เฮกตาร์ (56.25 ไร่)  โรงเรียนประถมศึกษาและมัธยมศึกษาผู่ไถ เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2542 ไต้หวันเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวระดับ 7.6 และจุดศูนย์กลางการสั่นสะเทือนอยู่ในหนานโถวและตื้นมาก จัดเป็นแผ่นดินไหวรุนแรงที่สุดในรอบ 100 ปีของไต้หวัน ทำให้หมู่บ้านและอาคารในหนานโถวและไทจง รวมถึงไทเปได้รับความเสียหายอย่างหนัก ภูเขาทั้งลูกเคลื่อนย้ายไปจากที่เดิมถึงหลายร้อยเมตร แต่ตัววัดจงไถฉานซื่อกลับไม่ได้รับความเสียหายเลย   นับตั้งแต่นั้นมา ผู้คนต่างพากันเลื่อมใส่ศรัทธาวัดนี้เป็นอย่างมาก ชาวพุทธและนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเดินทางไปไหว้พระขอพรที่วัดนี้อย่างเนืองแน่น ก่อนเกิดการระบาดของโรคโควิด ทางวัดสามารถรองรับนักท่องเที่ยวที่ไปแสวงบุญวันละนับเป็นหมื่นคน แต่หลังสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด วัดจงไถฉานซื่อมีการปิดวัด เพิ่งเปิดให้ไปเยี่ยมชมและสักการบูชาได้เมื่อเดือนมิถุนายน 2566

    ในวัดจงไถฉานซื่อกำลังจัดนิทรรศการพิเศษเกี่ยวกับศิลปะและศาสนาพุทธไทย เรียกว่านิทรรศการพุทธรัชศก ศิลปะและประติมากรรมศาสนาพุทธของประเทศไทย”(ภาพจากวัดจงไถฉานซื่อ)

              ภายในตัวอาคารมหาวิหารใหญ่โตอลังการ มีพระธรรมคัมภีร์ พระพุทธรูปมากมาย ทั้งยังมีพิพิธภัณฑ์ศาสนาโลก จัดแสดงศิลปวัฒนธรรมที่เกี่ยวกับศาสนาพุทธเป็นประจำ เพื่อนผู้ฟังที่อยากไปไหว้พระขอพร ช่วงนี้มีการจัดนิทรรศการพิเศษเกี่ยวกับศิลปะและศาสนาพุทธไทยพอดี เรียกว่านิทรรศการพุทธรัชศก ศิลปะและประติมากรรมศาสนาพุทธของประเทศไทย” เริ่มตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2566 จะจัดแสดงพระพุทธรูปและศิลปะเกี่ยวกับศาสนาพุทธของไทยไปจนถึงวันที่ 19 พฤษภาคม 2567 นี้ ณ ชั้น 3 ห้อง 301B และ 302B ของอาคารพิพิธภัณฑ์

    ในวัดจงไถฉานซื่อกำลังจัดนิทรรศการพิเศษเกี่ยวกับศิลปะและศาสนาพุทธไทย เรียกว่านิทรรศการพุทธรัชศก ศิลปะและประติมากรรมศาสนาพุทธของประเทศไทย”(ภาพจากวัดจงไถฉานซื่อ)

              ที่พิเศษคือ ปกติการไปชมนิทรรศการดังกล่าวต้องซื้อตั๋วคนละ 200 เหรียญ แต่สำหรับคนไทยเข้าชมฟรี โดยการแสดงหนังสือเดินทางหรือบัตร ARC ที่ยืนยันได้ว่าเป็นคนไทย สามารถเข้าชมฟรีโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย

    ในวัดจงไถฉานซื่อกำลังจัดนิทรรศการพิเศษเกี่ยวกับศิลปะและศาสนาพุทธไทย เรียกว่านิทรรศการพุทธรัชศก ศิลปะและประติมากรรมศาสนาพุทธของประเทศไทย”(ภาพจากวัดจงไถฉานซื่อ)

              วิธีการเดินทาง นั่งรถบัสโดยสารสายไทจง-ผูหลี่ จากสถานีรถไฟไทจง หรือจากสถานีรถไฟความเร็วสูงไทจง จากนั้นนั่งแท็กซีหรือรถบัสโดยสารท้องที่

    คนไทยเข้าชมนิทรรศการฟรี (ภาพจากวัดจงไถฉานซื่อ)

              แผนที่ Google Maps : เลขที่ 2 ถนนจงไถลู่, ตำบลผูหลี่ เมืองหนานโถว (中台禪寺 南投縣埔里鎮中台路2號)  https://maps.app.goo.gl/RYaCM47dfXtDqi9v

    แผนผังวัดจงไถฉานซื่อ (ภาพจากวัดจงไถฉานซื่อ)

  • 1. ตำนานที่มาของวันตรุษจีน

             ตรุษจีน คนส่วนใหญ่ทราบกันดีว่าเป็นวันปีใหม่ของชาวจีน แต่ตรุษจีนซึ่งในภาษาจีนคือ 春節 (อ่านว่า ชุนเจี๋ย)  ยังมีความว่า "เทศกาลฤดูใบไม้ผลิ" เพราะหลังตรุษจีนไปแล้วจะถือว่าเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ  สำหรับที่มาของวันตรุษจีน มีตำนานเล่าขานสืบต่อกันมาว่า ในสมัยโบราณ มีปีศาจตนหนึ่ง นามว่า “เหนียน” (年 ) มีความดุร้ายเป็นอย่างมาก เมื่อถึงวันฉูซี่หรือวันสิ้นปี หรือวันส่งท้ายปีเก่า ก็จะออกมาทำร้ายผู้คนและสัตว์เลี้ยงในหมู่บ้าน ดังนั้นทุกปีพอถึงวันสิ้นปี ผู้คนในหมู่บ้านต่างก็จะอุ้มลูกจูงหลานเข้าไปหลบซ่อนในหุบเขา เพื่อไม่ให้ปีศาจ “ เหนียน ”พบเจอและทำร้าย แต่ในเวลาต่อมา ชาวบ้านพบว่า “ เหนียน ” มีจุดอ่อน คือมันจะหวาดกลัวเสียงดังเปรี้ยงปร้าง สีแดง และไฟที่ร้อนแรงและสว่างเจิดจ้า ดังนั้นเมื่อถึงวันฉูซี่ ทุกบ้านจะพร้อมใจกันนำกระดาษสีแดงมาติดไว้หน้าประตูบ้านและแขวนโคมไฟสีแดง พร้อมกับนำไม้ไผ่มาเผาไฟเพื่อให้ปล้องไผ่แตกซึ่งจะทำให้เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ซึ่งสามารถขับไล่ “ เหนียน ” ไม่ให้เข้ามาอาละวาดในหมู่บ้าน จนเมื่อฟ้าสาง เริ่มต้นเช้าวันใหม่ซึ่งเป็นวันปีใหม่ตามปฏิทินจันทรคติจีนหรือวันตรุษจีน ผู้คนจึงออกมาจากบ้าน มาร่วมกันกล่าวคำอวยพรซึ่งกันและกันอย่างมีความสุข โดยกล่าวคำว่ากงสี่...กงสี่... (恭喜恭喜) แปลว่า ขอแสดงความยินดีด้วย พร้อมกับนำอาหารออกมารับประทานร่วมกันด้วยความยินดีปรีดา ต่อมาวันดังกล่าวนี้ จึงกลายมาเป็นวันแห่งการเฉลิมฉลองของชาวจีนซึ่งก็คือวันตรุษจีนนั่นเอง

    ช่วงตรุษจีน ผู้คนในไต้หวันนิยมแขวนหรือติดกระดาษแดงที่เขียนคำมงคล (ภาพจาก ftvnews.com.tw)

    2. ประเพณีและธรรมเนียมปฏิบัติในวันตรุษจีนของชาวไต้หวัน

            ประเพณีและธรรมเนียมปฏิบัติในเทศกาลตรุษจีนของชาวไต้หวันจะเริ่มตั้งแต่วันส่งท้ายปีเก่าหรือวันฉูซี่ (除夕) หรือที่ชาวไทยเชื้อสายจีนเรียกกันว่า วันไหว้ ในวันนี้จะมีการทำพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษและเทพเจ้า วันนี้สมาชิกในครอบครัวจะกลับบ้านมาร่วมรับประทานอาหารมื้อค่ำพร้อมหน้าพร้อมตากันทั้งครอบครัว อาหารมื้อค่ำในคืนวันส่งท้ายปีเก่า (年夜飯) ก็จะเป็นอาหารสิริมงคล หรือมีความหมายที่เป็นมงคลทั้งสิ้น ที่ขาดไม่ได้เลยคือปลา (魚) อ่านว่า อวี๋ เสียงไปพ้องกับคำว่า 餘 ซึ่งแปลว่า เหลือ หรือมากเกิน เมนูปลาในมื้อค่ำของวันส่งท้ายปีเก่า จึงเป็นการถือเคล็ดว่า ให้มีเงินทองเหลือกินเหลือใช้ และเมนูปลาจานนี้ส่วนใหญ่ไม่รับประทานแต่จะตั้งไว้บนโต๊ะอาหารจนถึงวันตรุษจีน นอกจากนี้ก็ยังมีสาหร่ายหรือ ฝ่าไช่ (髮菜) มีความหมายว่า ร่ำรวย  นอกจากนี้ยังมีถั่วงอก เพราะรูปร่างของถั่วงอกเหมือนกับคทาหรูอี้ (如意 ) ซึ่งเป็นคทาเป็นรูปทรงแป้น งอๆ ซึ่งมาจากรูปลักษณ์ตรงส่วนหัวของเห็ดหลินจือที่เชื่อว่า มีสรรพคุณเป็นยาอายุวัฒนะ คทานี้เป็นเครื่องยศชั้นสูงสำหรับขุนนางและพระจีนชั้นผู้ใหญ่ที่ใช้ในการประกอบพิธีกรรม คทาหรูอี้ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความสมปรารถนา มีทั้งที่ทำด้วยงาช้าง หยก หิน ไม้ไผ่หรือโลหะมีค่าเช่น ทองคำ เป็นต้น และก็ยังมีเมนูอาหารที่ใส่ผักกาดเขียวหรือภาษาจีนเรียกว่าฉางเหนียนไช่ (長年菜) หมายถึง อายุที่ยืนยาว เป็นต้น

    อาหารมื้อค่ำของคืนวันฉูซี่หรือวันส่งท้ายปีเก่า เป็นมื้อที่ต้องพิถีพิถัน เมนูปลาเป็นเมนูที่ขาดไม่ได้เลย (ภาพจาก Womens health)

           หลังทานอาหารมื้อค่ำแล้วก็จะเป็นช่วงเวลาที่เด็ก ๆ รอคอย นั่นก็คือการส่งมอบอั่งเปากัน โดยตามธรรมเนียม ลูก ๆ ที่เติบโตมีงานทำหรือแต่งงานแล้วจะต้องใส่อั่งเปาให้พ่อแม่  ส่วนเด็กๆหรือผู้ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ก็จะได้รับอั่งเปาจากพ่อแม่ ปู่ย่าตายายหรือลุงป้าน้าอา โดยทั่วไปอาหารมื้อค่ำจะใช้เวลารับประทานกันยาวนานเป็นพิเศษ ทานอาหารไปพูดคุยสนทนาไต่ถามสารทุกข์สุกดิบกันไปและตามธรรมเนียมจะต้องรอจนเที่ยงคืนแล้วจะมีการจุดประทัดส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่กัน จากนั้นจึงแยกย้ายกันไปนอน ซึ่งธรรมเนียมการอยู่รอให้ผ่านช่วงเที่ยงคืนของวันส่งท้ายปีเก่าจึงเข้านอนนี้ เรียกกันว่าการเฝ้าปี (守歲)

    หลังทานอาหารมื้อค่ำแล้วก็จะเป็นช่วงเวลาที่เด็ก ๆ รอคอย นั่นคือการส่งมอบอั่งเปา (ภาพจาก udn.com)

    วันตรุษจีน ผู้คนนิยมไปไหว้พระขอพรที่วัดหรือศาลเจ้า (ภาพจาก TVBS)

          วันตรุษจีนหรือวันชูอี (初一 ) ตามธรรมเนียม เมื่อตื่นเช้ามาก็จะกล่าวทักทายกันด้วยคำว่ากงสี่...กงสี่...(恭喜恭喜) แปลว่า ขอแสดงความยินดีด้วย ในวันตรุษจีนจะมีธรรมเนียมไปเยี่ยมญาติมิตรและไปเซ่นไหว้ที่วัดหรือศาลเจ้า ซึ่งเรียกกันว่าโจ่วชุน (走春) นอกจากนี้ยังมีประเพณีและข้อห้ามอื่นๆ ประกอบด้วย

          ห้ามทำความสะอาดบ้าน ซักผ้า สระผม เพราะถือว่าการทำความสะอาดบ้าน จะเป็นการเอาโชคลาภออกไปจากบ้าน

          ห้ามใช้ของมีคมและตัดผม  ถือว่าเป็นการตัดความโชคดีออกไป

          ห้ามร้องไห้ เพราะเชื่อว่าจะทำให้พบกับเรื่องไม่ดีและเสียใจไปตลอดปี

          ห้ามกินโจ๊ก เพราะในสมัยโบราณ คนยากจนมีข้าวสารไม่มากต้องใช้วิธีทำเป็นข้าวต้มหรือโจ๊กกินเพื่อให้อิ่มท้อง การกินโจ๊กในวันตรุษจีนเชื่อว่าเป็นลางไม่ดี เหมือนเป็นการขัดขวางไม่ให้ตัวเองร่ำรวย

          ห้ามพูดคำหยาบและทะเลาะเบาะแว้งกัน เพราะจะนำความโชคร้ายมาให้ตลอดปี

          ห้ามทำของแตก เมื่อไหร่ที่มีคนทำของแตก หมายความว่า ลางร้ายกำลังจะมาเยือน ครอบครัวจะแตกแยกหรือมีคนเสียชีวิต ดังนั้นหากมีคนทำของแตกในวันตรุษจีนก็จะแก้เคล็ดด้วยการพูดคำว่า ซุ่ยซุ่ยผิงอัน( 碎碎平安) ซึ่งพ้องเสียงกับสุภาษิตจีน 歲歲平安  ที่แปลว่า ขอให้สงบสุขและปลอดภัยตลอดไป

    3. ความเชื่อเกี่ยวกับมังกรของชนชาติจีน

           เนื่องจากตรุษจีนปีนี้เป็นปีมังกร จึงขอนำเสนอเรื่องของมังกรให้ได้ทราบกัน  มังกรถือเป็นสัตว์มงคลของจีนซึ่งประกอบด้วย กิเลน หงส์ เต่าและมังกร( 麟 、鳳 、龜、 龍) เนื่องจากชาวจีนเชื่อว่าสัตว์สี่ชนิดนี้เป็นสัญลักษณ์ของความศักดิ์สิทธิ์และมีวิญญาณ จึงเรียกกันว่า ซื่อหลิง (四靈) คำว่า 四 แปลว่า สี่  ส่วนคำว่า 靈  แปลว่า ความศักดิ์สิทธิ์ ความเป็นมงคล หรือวิญญาณ  四靈 จึงหมายถึง สี่ศักดิ์สิทธิ์หรือสี่สัตว์มงคล โดยสัตว์ทั้งสี่ชนิดนี้มีเพียงเต่าเท่านั้นที่มีจริง ส่วนมังกร หงส์และกิเลน เป็นสัตว์ในเทพนิยายและลักษณะรูปทรงเกิดจากจินตนาการของมนุษย์ทั้งสิ้น

           คัมภีร์หลี่จี้ (禮記) ซึ่งเป็นคัมภีร์โบราณของจีนบันทึกไว้ว่า  「麟、 鳳、 龜、 龍, 謂之四靈,麟為百獸之長,鳳為百禽之長,龜為百介之長,龍為百鱗之長」หมายความว่า กิเลน หงส์ เต่าและมังกร ได้รับสมญานามว่า สี่มงคล โดยกิเลนคือเจ้าแห่งสัตว์สี่เท้า หงส์คือเจ้าแห่งปักษา เต่าคือเจ้าแห่งสัตว์ที่มีกระดองหุ้มตัว มังกรคือเจ้าแห่งมัจฉา

    ความเชื่อเกี่ยวกับมังกรเป็นสัตว์มงคลสะท้อนให้เห็นได้จากรูปปั้นมังกรตามวัดหรือศาลเจ้าของจีน ในภาพเป็นบันไดมังกรทองยาว110 เมตรที่วัดจินฝ่าหัว ภูเขามังกรทองที่เมืองหนานโถว มีขนาดใหญ่และยาวที่สุดในเอเชีย (ภาพจาก travel.yam.com)

           นอกจากนี้ชาวจีนยังนับถือมังกรในฐานะที่เป็นสัตว์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและเป็นสิริมงคลที่สุด หลายคนคงคุ้นเคยกับรูปร่างของมังกรเป็นอย่างดี แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่เคยมีใครพบเห็นมังกรมาก่อนทั้งนี้เนื่องจากมังกรเป็นสัตว์ที่มนุษย์สร้างขึ้นจากจินตนาการ หรือเป็นสัตว์ในเทพนิยายเท่านั้นตามตำนานระบุว่ามังกรมีหัวเหมือนวัว มีเขาเหมือนกวางมีดวงตาเหมือนกุ้งกรงเล็บเหมือนนกอินทรี ลำตัวเหมือนงูหางเหมือนสิงโตลำตัวเต็มไปด้วยเกล็ด จะเห็นได้ว่าเป็นลักษณะรวมของสัตว์หลากหลายชนิด ตามความเชื่อของชาวจีนมังกรเดินบนดินได้ว่ายอยู่ในน้ำได้และเหินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าได้ มีอิทธิฤทธิ์ราวกับเทพเจ้า จักรพรรดิจีนใช้มังกรเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจ และผู้คนทั่วไปมีความเชื่อว่ามังกรเป็นสัตว์มงคลที่มีคุณธรรม ความดีและพลังอำนาจ

    เครื่องลายครามที่มีลวดลายมังกรยุคราชวงศ์หมิง ในพิพิธภัณฑ์พระราชวังแห่งชาติ ในกรุงไทเป (ภาพจาก National Palace Museum)

           ในประเทศจีนหรือในไต้หวันหรือชุมชนชาวจีนในประเทศต่างๆ เราสามารถพบเห็นรูปมังกรได้โดยทั่วไป เช่น วัดวาอาราม และศาลเจ้าต่างๆ ในการเฉลิมฉลองเทศกาลต่าง ๆ ชาวจีนมักจะติดรูปมังกรโคมไฟมังกร แข่งเรือมังกร หรือในการตั้งชื่อของเด็กผู้ชายก็มักจะมีคำว่ามังกรรวมอยู่ด้วย  มังกรได้ชื่อว่าเป็นสัตว์มงคลที่สำคัญที่สุดและยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาสี่สัตว์มงคลมังกรเป็นสัญลักษณ์ของคนจีน ดังนั้นคนเชื้อสายจีนทั่วโลกถือกันว่าตนเองคือลูกหลานของมังกร

    การเชิดมังกรไฟของชาวฮากกาเป็นประเพณีสำคัญของเมืองเหมียวลี่ที่ถือปฏิบัติกันมาเป็นปีที่ 35 แล้ว ปีนี้มีคณะเข้าร่วม 40 คณะ จะแสดงการเชิดมังกรไฟสุดอลังการที่สวนสาธารณะเหอปินกงหยวน (河濱公園) ในตัวเมืองเหมียวลี่ ในเทศกาลโคมไฟ ค่ำวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2567 (ในภาพเป็นการเชิดมังกรไฟของเมื่อปี 2566 จากเทศบาลเมืองเหมียวลี่)

  • 1. สายมูปักหมุดไว้เลย!! พาไปไหว้พระขอพรช่วงตรุษจีนแบบไม่ต้องกลัวรถติดที่ศาลเจ้าจื่อหนานกงไทเป

          เหลือเวลาอีกไม่กี่วันก็จะถึงช่วงวันหยุดยาวเทศกาลตรุษจีนแล้ว ปีนี้หยุดตั้งแต่วันที่ 8 - 14 กุมภาพันธ์ รวม 7 วัน เพื่อนผู้ฟังในไต้หวันมองหาสถานที่ท่องเที่ยวที่ถูกใจกันไว้แล้วหรือยังคะ สัปดาห์นี้ขอแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวและไหว้พระขอพรช่วงตรุษจีน ที่เดินทางสะดวก สำหรับคนที่อาศัยอยู่ทางภาคเหนือแนะนำไปไหว้พระขอพรที่ศาลเจ้าจื่อหนานกงไทเป (台北指南宮)  ใครที่เคยนั่งรถกระเช้าเมาคงอาจจะเคยเห็นผ่านหูผ่านตา เพราะก่อนถึงสถานีเมาคงจะผ่านสถานีจื่อหนานกงก่อน

    ศาลเจ้าจื่อหนานกงไทเป ศาลเจ้าที่มีชื่อเสียง อายุกว่าร้อยปี ตั้งอยู่บนเนินเขาชานกรุงไทเป (ภาพจาก smiletaiwan.cw.com.tw)

    ศาลเจ้าจื่อหนานกงตั้งอยู่บนเนินเขา มีพื้นที่มากถึง 485.5 ไร่ (ภาพจาก สำนักงานการท่องเที่ยวไทเป)

          ศาลเจ้าจื่อหนานกงตั้งอยู่บนเนินเขาสูง 285 เมตรจากระดับน้ำทะเล บนพื้นที่ 78 เฮกตาร์ (485.5ไร่)  ภายในมีต้นไม้ใหญ่จำนวนมากทำให้ร่มรื่นน่าเดินเที่ยว ที่สำคัญและถือเป็นเอกลักษณ์ของศาลเจ้าแห่งนี้คือ ปลูกต้นหอมหมื่นลี้หรือกุ้ยฮัว ( 桂花) เอาไว้มากมาย ตั้งแต่ทางเดินเข้าศาลเจ้า จะได้เห็นต้นหอมหมื่นลี้ที่ปลูกไว้เป็นแนวขนาบสองข้างทาง แค่เดินเข้าไปก็ได้กลิ่นของดอกหอมหมื่นลี้กรุ่นจมูก นอกจากนี้ยังจะได้เห็นต้นหอมหมื่นลี้ขนาดใหญ่ที่หาดูได้ยากปลูกไว้เกือบทุกมุมภายในศาลเจ้า รวมถึงภายในวิหารใหญ่ที่มี 3 แห่งก็จะได้เห็นต้นหอมหมื่นลี้ออกดอกบานสะพรั่ง

    ศาลเจ้าจื่อหนานกงปลูกต้นหอมหมื่นลี้ไว้มากมาย

    ต้นหอมหมื่นลี้ต้นใหญ่หายาก ในตลาดไม้ดอกไม้ประดับราคานับแสนเหรียญไต้หวัน ที่บริเวณทางเข้าศาลเจ้ามีมากมาย

          ศาลเจ้าจื่อหนานกงไทเป ได้ชื่อว่าเป็นศาลเจ้าในลัทธิเต๋าที่มีขนาดใหญ่และเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของไทเป ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2425 หรือเมื่อ115 ปีก่อน ซึ่งเป็นรัชสมัยของจักรพรรดิกวงซวี่แห่งราชวงศ์ชิงของจีน ตั้งอยู่บนเนินเขาในเขตเมาคง เจ้าของที่ดินเป็นคนตระกูลหลิวบริจาคให้สร้างศาลเจ้าแห่งนี้ขึ้น เดิมทีเทพองค์ประธานในวิหารใหญ่บูชา ลื่อทงปิน (呂洞賓) - โป๊ยเซียนองค์ที่ 3 ซึ่งเป็นเซียนแห่งการขจัดปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บ สิ่งชั่วร้าย และการมีอายุที่ยืนยาว อีกทั้งได้ชื่อว่าเป็นเซียนแห่งธุรกิจการค้า ความมั่งคั่ง และการขจัดปัดเป่า ซึ่งถูกอัญเชิญมาโดยหวังปินหลิน(王斌林) ผู้สำเร็จราชการไต้หวัน เสนาบดีของราชวงศ์ชิง ในช่วงที่เขาเดินทางมาประจำการบนเกาะไต้หวัน อย่างไรก็ตามในปัจจุบันศาลเจ้าจื่อหนานกงไทเป มีวิหารใหญ่ 3 แห่ง บูชาพระพุทธรูปเจ้าแม่กวนอิมและเทพในลัทธิต่างๆอีกมากมาย เพื่อให้ผู้มีจิตศรัทธาเลือกกราบไหว้บูชาตามความเลื่อมใส

    เทพเง็กเซียนฮ่องเต้ เทพองค์ประธานในวิหารใหญ่

         ภายในวิหารใหญ่สะอาดสะอ้านและเงียบสงบ

     ลื่อทงปิน โป๊ยเซียนองค์ที่ 3 เซียนแห่งการขจัดปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บ อีกทั้งได้ชื่อว่าเป็นเซียนแห่งธุรกิจการค้าและความมั่งคั่ง (ภาพจาก 指南宮文化研究中心)

           เนื่องจากศาลเจ้าแห่งนี้มีพื้นที่กว้างใหญ่มาก วิหารใหญ่แต่ละแห่งตั้งอยู่ห่างกันมาก คนที่กำลังขาไม่แข็งแรงอาจลำบากนิดหน่อย ยังดีที่วิหารใหญ่ที่มีชื่อว่า หลิงเซียวเป่าเตี้ยน (凌霄寶殿) อยู่ใกล้ๆกับทางเข้า เดินตามทางที่ปลูกต้นหอมหมื่นลี้ไว้สองข้างทางประมาณ 10 นาทีก็ถึง แต่บางคนอาจใช้เวลานานกว่านั้นเพราะตลอดทางมีมุมให้ถ่ายรูปเช็กอินหลายจุด วิหารแห่งนี้สร้างขึ้นในปี 2509 มีทั้งหมด 6 ชั้น เทพองค์ประธานเป็นเง็กเซียนฮ่องเต้ มีเทพลื่อทงปินกับเทพกวนอูขนาบข้างอยู่ด้วย สำหรับคนที่ชอบถ่ายรูป บนวิหารแห่งนี้มีระเบียงกว้างสำหรับชมวิวอยู่ด้านหน้าวิหาร ในวันที่อากาศแจ่มใสสามารถมองลงไปเห็นวิวกรุงไทเปได้อย่างชัดเจน

    ประทีปเสริมดวง สนนราคามีตั้งแต่ 1,200-12,000 เหรียญ

    โคมประทีปยักษ์ ที่มีจำนวนจำกัดราคา 600,000 เหรียญ

           สำหรับสายมู วิหารแห่งนี้มีร้านจำหน่ายวัตถุมงคลอยู่ข้างๆ และคนที่อยากจะจุดประทีปเสริมดวงก็มีบริการเช่นกัน สนนราคามีตั้งแต่ 1,200-12,000 เหรียญ และยังมีโคมประทีปยักษ์ ที่มีจำนวนจำกัดราคา 600,000 เหรียญ

    พระพุทธรูปไทยประดิษฐานอยู่กลางแท่นบูชา ถวายโดยจอมพลประภาส จารุเสถียร ซึ่งเคยมาลี้ภัยการเมืองในไทเป เมื่อปี 2520 

           ที่น่าสนใจคือ ในวิหารใหญ่ ต้าสงเป่าเตี้ยน (大雄寶殿) ซึ่งเป็นวิหารเก่าแก่ที่สุดของศาลเจ้าแห่งนี้ ( ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างซ่อมแซมแต่ยังเปิดให้เข้าไปสักการบูชา) มีพระพุทธรูปไทยองค์หนึ่งประดิษฐานอยู่กลางแท่นบูชา เป็นองค์พระประธาน พระพุทธรูปองค์นี้ออกแบบโดยกระทรวงวัฒนธรรมของไทยถวายโดยจอมพลประภาส จารุเสถียรเมื่อปี 2520 ซึ่งเคยมาลี้ภัยการเมืองอยู่ ในไทเป พร้อมกับพันเอก ณรงค์ กิตติขจร หลังเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 และจอมพลประภาส เคยมาสักการะที่ศาลเจ้าแห่งนี้และได้ตั้งจิตอธิษฐานว่าหากได้กลับเมืองไทยจะถวายพระพุทธรูปให้แก่ทางศาลเจ้า

     ในวันที่อากาศแจ่มใส จากระเบียงด้านหน้าศาลเจ้าสามารถมองเห็นวิวกรุงไทเปอยู่ด้านล่าง

            วิธีเดินทาง  โดยสารรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาล ไปลงที่สถานีสวนสัตว์ไทเป (Taipei Zoo Station : BR01) จากนั้นเดินตามลูกศรไปขึ้นรถกระเช้าเมาคง (Maokong Gondola) ลงที่สถานีจื่อหนานกง (Zhinan Temple Station) ค่าโดยสาร 100 เหรียญ เด็กอายุต่ำกว่า 6 ขวบ ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไปและพลเมืองไทเป ได้รับส่วนลดค่าโดยสาร 50 เหรียญ

    2. อย่าหาทำ!! เข้าป่าปีนเขาท่ามกลางอากาศหนาวเย็นและมีหิมะตก สุดท้ายต้องขอให้หน่วยกู้ภัยส่ง ฮ. ไปรับ เจอปรับร่วมสามแสนเหรียญ

            เมื่อช่วงปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา ได้ชื่อว่าเป็นช่วงที่อากาศหนาวเย็นที่สุดและบนภูเขามีหิมะตก แต่กลับมีนักปีนเขาที่ชอบความท้าทาย ไปเดินป่าปีนเขากัน กลุ่มแรก เป็นชายหญิงวัยฉกรรจ์ 2 คนไปปีนเขาที่ยอดเขาฉือโหย่วซาน (池有山) ซึ่งเป็นหนึ่งในยอดเขาสูงของเทือกเขาอู่หลิงซื่อซิ่ว (武陵四秀」ในนครไทจง เนื่องจากหิมะตกทำให้หลงทาง มีคนหนึ่งหมดสติเพราะมีภาวะอุณหภูมิร่างกายลดต่ำเกินไป จึงโทรขอความช่วยเหลือจากหน่วยกู้ภัยให้ส่งเฮลิคอปเตอร์ไปรับลงมา เนื่องจากเป็นพื้นที่สูงชันต้องใช้วิธีหย่อนเชือกลงไปดึงตัวขึ้นมา เมื่อมีการสอบปากคำหลังนำส่งโรงพยาบาลและผู้ป่วยพ้นขีดอันตราย พบว่า ทั้งสองไม่ได้ยื่นขอใบอนุญาตปีนเขาตามกฎระเบียบต้องระวางโทษปรับ 10,000-50,000 เหรียญไต้หวัน และไม่ซื้อประกันอุบัติเหตุต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 50,000 เหรียญไต้หวัน นอกจากนี้ยังต้องเสียค่าใช้จ่ายในการส่งเฮลิคอปเตอร์ของหน่วยกู้ภัยออกไปให้ความช่วยเหลืออย่างต่ำ 200,000 เหรียญไต้หวัน รวมๆแล้วน่าจะร่วม 300,000 เหรียญไต้หวัน

     

    อย่าหาทำ!! เข้าป่าปีนเขาท่ามกลางอากาศหนาวเย็นและมีหิมะตก สุดท้ายต้องขอให้หน่วยกู้ภัยส่ง ฮ. ไปรับ เจอปรับร่วมสามแสนเหรียญ (ภาพจาก UDN)

    อย่าหาทำ!! เข้าป่าปีนเขาท่ามกลางอากาศหนาวเย็นและมีหิมะตก สุดท้ายต้องขอให้หน่วยกู้ภัยส่ง ฮ. ไปรับ เจอปรับร่วมสามแสนเหรียญ (ภาพจาก Chinatimes)

         กลุ่มที่สองมี 6 คน ไปปีนเขาที่เมืองหนานโถว ที่ยอดเขาหนานซานต้วน (南三段 ) ที่เป็นหนึ่งในยอดเขาสูงของเทือกเขาจงหยาง และถูกจัดเป็น 1 ใน 100 ภูเขาสูงที่สวยงามของไต้หวันที่สูงจากระดับน้ำทะเลเกิน 3,000 เมตร ปรากฏว่า ได้ขอความช่วยเหลือจากหน่วยกู้ภัยให้ช่วยส่งเสบียงอาหารขึ้นไปให้เพราะอาหารที่เตรียมมาไม่เพียงพอ จึงถูกปฏิเสธแต่ได้ช่วยส่งเรือต่อให้แก่บริษัทเอกชนที่มีบริการให้ความช่วยเหลือแก่นักปีนเขาในการลำเลียงเสบียงหรืออุปกรณ์ต่างๆ แต่จ้องจ่ายค่าบริการเอง จากสถิติพบว่า แต่ละปีมีนักปีนเขาฝ่าฝืนกฎระเบียบ ปีนเขาโดยไม่ขออนุญาตมากกว่า 400 ครั้ง

    หน่วยกู้ภัยทางอากาศของไต้หวัน (ภาพจาก UDN)

         ในอดีตไต้หวันบริหารจัดการภูเขาและอนุรักษ์ป่าโดยใช้วิธีปิดหรือไม่อนุญาตให้ประชาชนเข้าไป ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อการผลักดันกีฬาปีนเขา แต่เมื่อวันที่ 21 ต.ค. 2562 สภาบริหาร สาธารณรัฐจีน(ไต้หวัน) ประกาศเปิดป่าและภูเขา  รวมเส้นทางเดินป่า 81 สาย ใช้วิธีควบคุมรถเข้าออกโดยต้องขออนุญาตก่อน แต่ให้คนเข้าออกได้โดยไม่ต้องยื่นขออนุญาต อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการปีนเขาสูง ค่อนข้างอันตราย และมักเกิดเหตุนักปีนเขาประสบอุบัติเหตุบ่อยๆ เทศบาลนครไทจง เมืองหนานโถว ฮัวเหลียน เหมียวลี่และผิงตง ซึ่งเป็นเขตพื้นที่ที่มีภูเขาสูงหนาแน่น ได้ประกาศ "ระเบียบการบริหารจัดการกิจกรรมปีนเขา” (登山活動自治管理條例) ซึ่งกำหนดให้

          1. ต้องยื่นขอใบอนุญาตเดินป่า

          2. ยื่นหนังสือแสดงเจตจำนงขอรับความช่วยเหลือจากหน่วยกู้ภัยกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน

          3. ต้องซื้อประกันอุบัติเหตุด้วย

    มีการกำหนดบทลงโทษผู้ฝ่าฝืนดังนี้

          1. ทำกิจกรรมเดินป่าหรือปีนเขา ไม่ยื่นขอใบอนุญาต ต้องระวางโทษปรับ 6,000-30,000 เหรียญ กรณีได้รับแจ้งเตือนจากเจ้าหน้าที่แล้วแต่ไม่เชื่อฟัง ต้องระวางโทษจำคุก 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 15,000 เหรียญ หรือทั้งจำทั้งปรับ กรณีเป็นเขตควบคุมและจัดเป็นมรดกทางวัฒนธรรมต้องระวางโทษ 150,000 เหรียญ

          2. ปีนเขาโดยไม่เตรียมอุปกรณ์ให้พร้อมปรับ 3,000-15,000 เหรียญ

          3. ปีนเขาในเขตพื้นที่ที่มีการควบคุม หากไม่มีคนนำทางที่มีใบอนุญาต ต้องระวางโทษปรับ 10,000-50,000 เหรียญ

          4. ปีนเขาขณะที่สภาพอากาศไม่ดีและมีการประกาศเตือนภัย ต้องระวางโทษปรับ 10,000-50,000 เหรียญ

          5. ไม่ซื้อประกันอุบัติเหตุต้องระวางโทษปรับ 10,000-50,000 เหรียญ

     

    กิจกรรมปีนเขา กลายเป็นหนึ่งกิจกรรมยอดฮิตของคนในยุคนี้ (ภาพจาก cathay-ins.com.tw)

          ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ การท่องเที่ยวตามธรรมชาติ ปีนเขา และเดินป่า กลายเป็นหนึ่งกิจกรรมยอดฮิตของคนในยุคนี้ ไม่ว่าจะเป็นที่ประเทศไทย หรือในไต้หวันเองก็เช่นกัน สำหรับไต้หวันที่เป็นเพียงเกาะเล็กๆ มีพื้นที่โดยรวมประมาณ 36,197 ตารางกิโลเมตร มีขนาดพื้นที่เล็กกว่าไทยประมาณ 14 เท่า แต่เนื่องจากเกาะไต้หวันเกิดจากการชนกันของแผ่นเปลือกโลกยูเรเซีย (Eurasian Plate) และแผ่นเปลือกโลกทะเลฟิลิปปินส์ (Philippine Sea Plate) ดันผืนดินใต้ทะเลให้สูงขึ้นมากลายเป็นเกาะและยังทำให้เกิดภูเขาสูงทั้งในแนวตั้งและแนวขวางของเกาะมากมาย จัดเป็นหนึ่งในเกาะที่มีพื้นที่ภูเขาสูงมากที่สุดในโลก โดยไต้หวันมีภูเขาที่สูงจากระดับน้ำทะเลเกิน 3,000 เมตร มากถึง 268 แห่ง มีสันเขาที่สูงชันที่ขึ้นชื่อว่ามี "ประหลาด อันตราย ชัน และงดงาม" จำนวน 100 ยอด ในภาษาจีนเรียกว่าไป่เยว่ (百岳) ทำให้ไต้หวันได้รับสมญานามว่า “ดินแดนแห่ง 100 ยอดเขาสูงที่สวยงาม”อีกด้วย

  • 1. สัปดาห์แห่งความหนาวเหน็บ!! คลื่นลมหนาวทำหิมะตกบนภูเขาเกือบทุกแห่ง 3 วันมีชาวไต้หวันเสียชีวิตจากความหนาว 53 ราย

                สัปดาห์ที่ผ่านมา ได้ชื่อว่าเป็นสัปดาห์แห่งความหนาวเหน็บของไต้หวัน เนื่องจากคลื่นลมหนาวกำลังรุนแรงที่สุดตั้งแต่เข้าสู่ฤดูหนาวปีนี้โหมกระหน่ำไต้หวัน บวกกับปริมาณความชื้นในอากาศที่สูงมาก ส่งผลให้ทั่วไต้หวันอากาศหนาวเหน็บ โดยเฉพาะภาคกลาง ภาคเหนือและภาคตะวันออก อุณหภูมิร่วงเหลือเลขหลักเดียวทุกเมืองและที่ทำให้คนไต้หวันตื่นเต้นกันมากก็คือ เมื่อวันอังคารที่ 23 มกราคมซึ่งเป็นวันที่อากาศหนาวเย็นที่สุด ภูเขาทางภาคเหนือและภาคกลางมีหิมะตกเกือบทั้งหมด แม้แต่ภูเขาเตี้ย ๆ ระดับความสูงแค่ 800 เมตร อย่าง อูไหลในนครนิวไทเปและหยางหมิงซานชานกรุงไทเป ก็มีหิมะตก ดังนั้นไม่ต้องพูดถึงภูเขาสูงที่มีระดับความสูงเกินกว่า 3,000 เมตรอย่างอวี้ซานหรือเหอฮวนซาน หิมะตกหนาเกือบ 10 เซนติเมตร ภูเขาไท่ผิงซาน ในเมืองอี๋หลาน ทางภาคตะวันออกก็มีหิมะตกเช่นกัน ผู้คนจำนวนมากแห่ขึ้นเขาไปชมหิมะกัน เพราะในไต้หวันหิมะไม่ได้ตกบ่อยหรือตกมากเหมือนญี่ปุ่นหรือเกาหลีใต้

    หิมะตกบนที่ราบสูงอูไหล แหล่งอาบน้ำแร่ชื่อดังในนครนิวไทเป สูงจากระดับน้ำทะเลเพียง 800 เมตร

    ภูเขาหยางหมิงซาน ตั้งอยู่ชานกรุงไทเป สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 800 เมตร ก็มีหิมะตก

    หิมะตกที่ภูเขาไท่ผิงซาน เมืองอี๋หลาน สูง 1,950 เมตรจากระดับน้ำทะเล

    ภูเขาอวี้ซาน ที่เมืองหนานโถว สูง 3,952 เมตรจากระดับน้ำทะเล หิมะตกหนาที่สุด

               อย่างไรก็ตาม อากาศที่หนาวจัดและมีหิมะตกก็สร้างความลำบากและยุ่งยากให้แก่เด็กนักเรียนในโรงเรียนบนภูเขาสูง เพราะการเดินทางจะไม่สะดวก เพราะถนนจะลื่นมาก อีกทั้งโรงเรียนส่วนใหญ่ไม่มีฮีตเตอร์หรือเครื่องทำความร้อน หากให้นักเรียนนั่งเรียนในห้องเรียนที่อากาศหนาวจัดอาจไม่สบายได้ ดังนั้นโรงเรียนประถมศึกษาบนภูเขาหลายแห่งในหลายเมืองต้องหยุดเรียนเนื่องจากอากาศหนาวจัดเป็นเวลา  2 วัน

    อากาศหนาวจัดผู้สูงอายุและผู้ป่วยโรคหลอดเลือดต้องระวังเกิดภาวะหัวใจหยุดเต้น วันที่ 22 ม.ค. พบ 92 ราย และ 23 ม.ค. พบอีก 53 ราย (ภาพจาก UDN)

              ในช่วงอากาศที่หนาวเย็นติดต่อกันหลายวัน นอกจากเป็นอุปสรรคต่อการเดินทางไปโรงเรียนของเด็กนักเรียนในพื้นที่แถบภูเขาแล้ว ยังเป็นอันตรายต่อผู้สูงอายุด้วย จากข้อมูลของสำนักงานดับเพลิง กระทรวงมหาดไทยไต้หวันระบุว่า คลื่นลมหนาวโหมกระหน่ำทั่วไต้หวัน หน่วยกู้ภัยทุกพื้นที่ต้องออกไปให้ความช่วยเหลือประชาชนที่เกิดภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน นำส่งโรงพยาบาล โดยในช่วงเวลาสั้นๆ 3 วัน คือระหว่างวันที่ 20-22 มกราคมที่ผ่านมา ทั่วไต้หวันพบคนที่เกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นรวม 241 ราย โดยวันที่ 22 ซึ่งเป็นวันที่อากาศหนาวเย็นมากในเขตตัวเมืองทางภาคกลางและภาคเหนือ อุณหภูมิในช่วงเช้าอยู่ที่ 4-8 องศาเซลเซียสเท่านั้น พบว่า มีผู้เสียชีวิตเพราะหัวใจหยุดเต้นถึง 92 คน และในวันที่ 23 ช่วงเวลา 0.00 -05.00 น. พบอีก 53 ราย ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุที่มีโรคเรื้อรังประจำตัว โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคหลอดเลือดและโรคภูมิแพ้ ดังนั้นช่วงอากาศหนาว หากในครอบครัวมีผู้สูงอายุต้องดูแลเรื่องความอบอุ่นของร่างกาย ช่วงที่ไม่หนาวมากก็ต้องเตรียมอุปกรณ์ป้องกันความหนาวเย็นให้พร้อม แต่หากเกิดเหตุฉุกเฉินสามารถโทร 119 เพื่อขอให้ส่งรถพยาบาลมารับไปยังโรงพยาบาล

    กรณีเกิดเหตุฉุกเฉินสามารถโทร 119 เพื่อขอให้ส่งรถพยาบาลมารับไปส่งโรงพยาบาลได้ (ภาพจาก commonhealth.com.tw)

    2. ลองทายสิ! ช่วงอากาศหนาว เครื่องดื่มอะไรช่วยให้ร่างกายอบอุ่นได้ดีที่สุด สู้กับความหนาวเย็นและห่างไกลจากภาวะหัวใจหยุดเต้นได้?

              ช่วงอากาศหนาว เครื่องดื่มอะไรช่วยให้ร่างกายอบอุ่นได้ดีที่สุด คำตอบย่อมไม่ใช่สุรา แต่หลายคนอาจจะตอบว่า น้ำขิง บางคนตอบว่าชาร้อน  แต่แท้ที่จริงแล้ว ไม่ใช่เลย คำตอบคือ ช็อกโกแลตร้อน จากผลงานการศึกษาวิจัยในประเทศญี่ปุ่นระบุว่า ช็อกโกแลตร้อนช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นเนื่องจากหลังดื่มช็อกโกแลตร้อนแล้ว สารโพลีฟีนอลส์ (Polyphenols) ในช็อกโกแลต จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตและทำให้เกิดพลังงานความร้อนซึ่งจะทำให้ร่างกายอบอุ่นขึ้น

    ช่วงอากาศหนาว เครื่องดื่มที่ช่วยร่างกายอบอุ่นได้ดีที่สุดคือ ช็อกโกแลตร้อน  (ภาพจาก criollo-cacao.com)

              ส่วนเครื่องดื่มที่ดื่มแล้วช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้น อันดับรองลงมาคือ ชาดำ น้ำขิง ข้าวน้ำหมาก ชาเขียวและกาแฟ ตามลำดับ ดังนั้นใครที่กลัวความหนาวเย็นในช่วงอากาศหนาวเหน็บแนะนำให้ชงช็อกโกแลตร้อนๆสัก 1 แก้วก่อนออกจากบ้านไปเผชิญกับความหนาวเย็น

    เครื่องดื่มที่ดื่มแล้วช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้น อันดับ 1 ช็อกโกแลตร้อน (ถ้วยกลาง) อันดับรองลงมาคือ ชาดำ (ซ้าย) น้ำขิง (ขวา) (ภาพจาก supertaste.tvbs.com.tw)

    3. สาวขายหมากชุดเซ็กซี่ในไต้หวันหายไปไหน? คนเคี้ยวหมากลดฮวบ น้องนางผันตัวไปทำอาชีพอื่นที่มีรายได้ดีกว่า

                หลายคนโดยเฉพาะคุณผู้ชายคงยังจำกันได้ กับภาพในอดีตที่มีสาวขายหมากนุ่งน้อยห่มน้อยนั่งอยู่ในตู้กระจกรอลูกค้า ซึ่งมักจะเป็นโชเฟอร์หนุ่มใหญ่ เคยตั้งเรียงรายติด ๆ กัน 2 ข้างถนนสายสำคัญที่เป็นเส้นทางผ่านของรถบรรทุกหรือทางต่างระดับขึ้นทางด่วน มันเป็นวัฒนธรรมที่มีเฉพาะในไต้หวัน เคยโด่งดังไปถึงต่างประเทศ รายการทีวีทั้งญี่ปุ่น ตะวันออกกลาง แม้แต่สื่อยักษ์ใหญ่อย่าง CNN ก็ยังแห่มาถ่ายทำเป็นข่าวหรือสกู๊ปพิเศษ หนุ่มไทยจำนวนไม่น้อยที่เคยเดินทางมาท่องเที่ยวหรือมาทำงานก็มักจะแวะไปซื้อหาหมาก โดยมีวัตถุประสงค์ต้องการชมชุดวาบหวิวของสาวน้อยหุ่นเซ็กซี่ แต่ภาพเหล่านี้เหลือแต่ความทรงจำ ปัจจุบันเลือนหายไปเกือบหมดไม่เหลือให้ได้เห็นอีกต่อไปแล้ว แม้ว่าทุกวันนี้ตามข้างถนนยังพอมีตู้ขายหมากหลงเหลืออยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่จะขายเครื่องดื่มชูกำลัง บุหรี่และน้ำขวด พร้อม ๆ กันไปด้วย เพราะคนซื้อหมากลดน้อยลดไปมาก แถมคนขายก็เป็นหญิงหรือชายวัยกลางคนขึ้นไป

    ภาพในความทรงจำ สาวขายหมากใส่ชุดวาบหวิวนั่งรอลูกค้าตามตู้กระจกข้างถนนสายสำคัญ (ภาพจาก chinatimes.com)

                ก่อนจะมาเล่าให้ฟังว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น มาทำความรู้จักชื่อเรียกของสาวขายหมากกันก่อน คนไต้หวันนิยมเรียก “ปินหลางซีซือ” (檳榔西施) หรือไซซีขายหมาก คำว่าปินหลางก็คือหมาก ส่วนซีซือ หรือที่คนไทยรู้จักในชื่อที่เรียกขานกันตามภาษาแต้จิ๋วว่า “ไซซี” นั้น มีชีวิตอยู่ในสมัยชุนชิว หรือประมาณ 770-376 ปีก่อนคริสตกาล นางเป็นผู้เลอโฉมและเรือนร่างงดงาม ไม่มีใครเทียบเคียงได้ในยุคนั้น ถูกจัดให้อยู่ในอันดับแรกของสี่สาวงามสมัยโบราณกาลของจีน ได้รับฉายาว่า "มัจฉาจมวารี" หมายถึง “แม้แต่ฝูงปลาที่แหวกว่ายในลำธาร เมื่อได้เห็นรูปโฉมของนาง ยังตะลึงจนลืมว่ายถึงกับจมลงสู่ใต้น้ำโดยไม่รู้ตัว”

    สาวขายหมากในชุดเซ็กซี่นำหมากมาส่งให้ลูกค้า (ภาพจาก udn.com)

                ทีนี้มาดูสาเหตุที่ทำให้ไซซีขายหมากหายไป Sharon Peng อินฟลูเอนเซอร์สื่อโซเชียลชื่อดังชาวไต้หวันกล่าวในติกต็อกว่า ในอดีตจะเห็นสาวขายหมากทรวดทรงเซ็กซี่ใส่ชุดวาบหวิวตามสองข้างทางเต็มไปหมด โดยเฉพาะทางภาคกลาง นั่นเป็นเพราะในอดีตไต้หวันมีประชากรที่เคี้ยวหมาก ซึ่งเป็นหมากลูกเล็กและเป็นหมากสด ไม่เหมือนหมากพลูไทย จำนวนมากถึง 2 ล้านคน รัฐบาลไม่ได้ห้าม เพราะเกี่ยวข้องกับการทำมาหากินของคนจำนวนมาก แต่ใช้วิธีประชาสัมพันธ์ถึงอันตรายของการเคี้ยวหมาก แรก ๆ ได้ผลช้า แต่ต่อมา คนเคี้ยวหมากป่วยเป็นโรงมะเร็งในช่องปากและเสียชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้คนกลัวและทยอยเลิกเคี้ยวหมาก จากข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการไต้หวัน ปี 2565 ในไต้หวันมีผู้เสียชีวิตจากโรคมะเร็ง 51,927 คน ในจำนวนนี้เสียชีวิตจากโรคมะเร็งในช่องปาก 3,192 คน รัฐบาลโหมประชาสัมพันธ์อันตรายของการเคี้ยวหมาก ทำให้ประชากรที่เคี้ยวหมากจาก 2 ล้านคนลดฮวบเหลือ 600,000 คน กิจการขายหมากจึงซบเซาไม่คึกคักเหมือนอดีต แน่นอนย่อมส่งผลต่อรายได้ของสาวขายหมาก ดังนั้น สาวขายหมากจำนวนมากจึงหันไปประกอบอาชีพอื่นที่มีรายได้ดีกว่า เช่น เป็นพริตตี้ในงานมอเตอร์โชว์หรืองานแสดงสินค้า เป็นอินฟลูเอนเซอร์ หรือคนรีวิวและขายสินค้าในสื่อออนไลน์ โดยเมื่อประมาณ 3-4 ปี ที่แล้ว ยังพอมีสาวขายหมากให้เห็นอยู่บ้าง แต่นั่นส่วนใหญ่เป็นสาวเวียดนาม ทุกวันนี้ แม้แต่สาวขายหมากเวียดนามก็ไม่ค่อยได้เห็นกันแล้ว

    สาวขายหมากในชุดเซ็กซี่กลายเป็นภาพในอดีตไปแล้ว (ภาพจาก chinatimes.com)

                อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน ยังมีผู้บริโภคหมากถึง 600,000 คน ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงพอสมควร มูลค่าตลาดหมากสดยังสูงกว่า 10,000 ล้านเหรียญไต้หวันต่อปี และต้องใช้พื้นที่ในการเพาะปลูกประมาณ 27,000 เฮกตาร์ หรือประมาณ 168,750 ไร่ (1 เฮกตาร์เท่ากับ 6.25 ไร่) หรือประมาณ 1.5 เท่าของพื้นที่กรุงไทเป เกษตรกรที่พึ่งพาอาชีพปลูกและขายหมากยังมีจำนวนมากถึง 500,000 คน รัฐบาลจึงยังต้องเพิ่มการประชาสัมพันธ์อันตรายจากการเคี้ยวหมากอย่างต่อเนื่อง

    ปัจจุบันชาวไต้หวันที่เคี้ยวหมากลดลงจาก 2 ล้านคนเหลือ 600,000 คน ทำให้กิจการขายหมากซบเซาไม่คึกคักเหมือนอดีต (ภาพจาก Ftvnews.com.tv)

  • 1. อย่าประมาท การ์ดห้ามตก โรคภัยยังชุกชุม ไข้หวัดใหญ่และโควิดไม่ได้หายไป ผู้ป่วยล้นโรงพยาบาล

              สัปดาห์นี้อากาศดี ไม่หนาวและไม่ร้อน แต่โรคภัยไข้เจ็บยังคงชุกชุม ในไต้หวันโรคไข้หวัดใหญ่กับโควิด-19 ยังไม่มีท่าทีจะบรรเทาลง เมื่อวันที่ 16 มกราคมที่ผ่านมา กรมควบคุมโรคไต้หวันประกาศว่า ช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมาไต้หวันมีผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ 127,000 คน ทำสถิติยอดผู้ป่วยรายสัปดาห์สูงสุดในรอบ 10 ปี ที่ต้องจับตาคือมีผู้ป่วยอาการหนัก 12 รายและเสียชีวิต 11 ราย ในจำนวนนี้รวมเด็กหญิงวัย 7 ขวบผู้หนึ่งติดเชื้อไข้หวัดใหญ่และนำไปสู่โรคสมองอักเสบเสียชีวิตหลังจากติดเชื้อภายในเวลาเพียง 5 วัน ส่วนโรคโควิด-19 ยังคงระบาดต่อเนื่อง สัปดาห์ที่ผ่านมา จำนวนผู้ป่วยรายสัปดาห์เพิ่มมากขึ้นสูงสุดในรอบ 5 เดือน โดยส่วนใหญ่เป็นผู้สูงวัยที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป และมีผู้เสียชีวิต 55 ราย ทำสถิติสูงสุดในรอบ 4 เดือน โดยเป็นผู้สูงอายุประมาณ 90%

    สารพัดโรคจู่โจม ทั้งอะดีโนไวรัส ไข้หวัดใหญ่และโควิด-19 ทำสถานพยาบาลเต็มไปด้วยคนไข้ ในภาพเป็นคลินิกแห่งหนึ่งผู้ป่วยกำลังรอลงทะเบียนเข้ารับการรักษา

    2. ตรุษจีนปีนี้ คุณได้โบนัสเท่าไหร่? Tigerair จ่ายโบนัสเฉลี่ยคนละ 10.8 เดือน มากสุดในวงการธุรกิจสายการบินของไต้หวัน

              เหลือเวลาอีกไม่ถึงเดือนก็จะถึงเทศกาลตรุษจีนแล้ว ปีนี้ไต้หวันมีวันหยุดช่วงเทศกาลตรุษจีน 7 วันคือระหว่างวันพฤหัสบดีที่ 8-วันพุธที่ 14 กุมภาพันธ์ โดยวันตรุษจีนหรือวันขึ้นปีใหม่ของชาวจีนตรงกับวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ช่วงก่อนตรุษจีนประเด็นที่ผู้คนในไต้หวันให้ความสนใจมากที่สุดก็คือ เงินโบนัสสิ้นปีหรือภาษาจีนเรียกสั้นๆว่า 年終 อ่านว่า เนี๋ยนจง ย่อมาจากคำว่า 年終獎金 อ่านว่า เนี๋ยนจงเจี่ยงจิน แปลว่า เงินโบนัสสิ้นปี ซึ่งนายจ้างจะจ่ายให้พนักงานเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจในการทำงานก่อนตรุษจีน ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของธุรกิจทุกประเภท รวมถึงหน่วยงานราชการของไต้หวันด้วย อย่างไรก็ตาม กฎหมายมาตรฐานแรงงานไม่ได้มีการกำหนดให้นายจ้างต้องจ่ายเงินโบนัสสิ้นปีให้แก่พนักงาน แต่ระบุเพียงว่า ธุรกิจที่มีกำไรควรจ่ายเงินโบนัสเพื่อเป็นกำลังใจให้แก่พนักงาน

    โดยทั่วไป นายจ้างไต้หวันจะเงินโบนัสสิ้นปีให้พนักงานเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจในการทำงานก่อนตรุษจีน  (ภาพจาก cardu.com.tw)

              ผลการสำรวจของเว็บไซต์จัดหางานที่มีชื่อเสียง ระบุว่า มีบริษัท 88.7% จะจ่ายโบนัสสิ้นปี ซึ่งสูงกว่าปีที่แล้วที่มี 79.8% โดยผลสำรวจประเภทธุรกิจที่จ่ายโบนัสสิ้นปีเฉลี่ยสูงสุด ได้แก่ ภาคการเงินและการธนาคาร 2.75 เดือน รองลงมาคือธุรกิจขนส่งโลจิสติกส์ 2.11 เดือน ธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศ 1.8 เดือน ธุรกิจการแพทย์และเทคโนโลยีชีวภาพ 1.56 เดือน  ภาคอุตสาหกรรมการผลิตแบบดั้งเดิม 1.48 เดือน โดยในจำนวนนี้ ภาคการเงินครองแชมป์โบนัสเฉลี่ยสูงที่สุดติดต่อกัน 11 ปี นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2013 สำหรับ ประเภทธุรกิจที่จ่ายโบนัสสิ้นปีน้อยที่สุด ได้แก่ ภาคสื่อสารมวลชน 0.5 เดือน ภาคการศึกษาและวัฒนธรรม 0.6 เดือน

    ผลการสำรวจของเว็บไซต์จัดหางานที่มีชื่อเสียง ระบุว่า มีบริษัท 88.7% จะจ่ายโบนัสสิ้นปี ซึ่งสูงกว่าปีที่แล้วที่มี 79.8% (ภาพจาก ETtoday)

              อย่างไรก็ตาม ในปีนี้ธุรกิจสายการบินซึ่งจัดอยู่ในภาคการขนส่ง มีผลประกอบการเติบโตขึ้นเพราะได้รับอานิสงส์จากธุรกิจท่องเที่ยวระหว่างประเทศบูมขึ้นในยุคหลังโควิด สายการบินของไต้หวันประกาศจ่ายโบนัสให้พนักงานมากกว่าทุกปี โดยเฉพาะสายการบิน Tigerair Taiwan ประกาศจ่ายโบนัสสิ้นปีเฉลี่ย 10.8 เดือน กลายเป็นสายการบินที่จ่ายโบนัสมากที่สุดในวงการธุรกิจสายการบินของไต้หวัน ส่วนสายการบิน EVA Air จ่ายโบนัสสิ้นปีจำนวน 6 เดือน สายการบิน China Airlines จ่าย 5 เดือน และเพิ่มโบนัสพิเศษอีก 20,000 เหรียญไต้หวัน อีกทั้งจะปรับขึ้นเงินเดือนอีก 4% ในขณะที่ STARLUX Airlines ที่เพิ่งก่อตั้งไม่นานจ่ายโบนัสสิ้นปี 1 เดือน และปรับขึ้นเงินเดือนอีก 4%

    Tigerair Taiwan สายการโลว์คอสต์ จ่ายโบนัสเฉลี่ย 10.8 เดือน กลายเป็นสายการบินที่จ่ายโบนัสมากที่สุดในวงการธุรกิจสายการบินของไต้หวัน (ภาพจาก LTN)

              ธุรกิจที่ได้รับการจับตาจากสังคมไต้หวันมากที่สุดอีกธุรกิจหนึ่งคือ ธุรกิจขนส่งสินค้าทางทะเล เนื่องจากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาซึ่งเป็นช่วงที่โลกเผชิญกับสถานการณ์การระบาดของโควิด -19 ต้องพึ่งพาการขนส่งทางทะเลทำให้ผลประกอบการของธุรกิจขนส่งสินค้าทางทะเล เติบโตขึ้นแบบก้าวกระโดด แต่ปีนี้สถานการณ์โควิดเบาบางลง การขนส่งทางบก ทางอากาศกลับเข้าสู่ภาวะปกติจึงไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการขนส่งทางทะเลมากเหมือนช่วงโควิดระบาด ทำให้ผลประกอบการธุรกิจขนส่งสินค้าทางทะเลหดตัวลงมากลับสู่ระดับปกติ บริษัทขนส่งทางทะเลของไต้หวันอย่าง EVERGREEN MARINE CORP ปีที่แล้วจ่ายโบนัสให้พนักงาน 40-50 เดือน กลายเป็นข่าวฮือฮาไปทั่วโลก ปีนี้ผลประกอบลดลง ทำให้จ่ายโบนัสเพียง 4~6 เดือน หรือลดลงจากสองปีก่อนประมาณเกือบ 10 เท่าตัว กระนั้นก็ตาม นอกจากโบนัสแล้ว EVERGREEN MARINE CORP ยังมีการจ่ายเงินปันผลให้พนักงานอีกคนละ 60,000 เหรียญไต้หวัน

    ปีที่แล้วธุรกิจขนส่งทางทะเลหดตัวลง ทำให้ EVERGREEN MARINE CORP ซึ่งเคยจ่ายโบนัสให้พนักงาน 40-50 เดือน ปีนี้จ่ายโบนัสเพียง 4-6 เดือน (ภาพจาก english.cw.com.tw)

    3. ตำรวจไต้หวันพัฒนา M-police ระบบอ่านป้ายทะเบียนรถทุกชนิดด้วย AI ขโมยหรือยืมรถคนอื่นไปใช้แล้วไม่คืนโดนตรวจพบเพียบ

              ไต้หวันมีความหนาแน่นของยวดยานพาหนะติดอันดับต้น ๆ ของโลก จากข้อมูลของกองทะเบียนยานยนต์ เฉพาะรถจักรยานยนต์ มีจำนวนมากถึง 14.5 ล้านคัน เฉลี่ยทุก 100 คน (หมายถึงชาวไต้หวันที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป) มีรถจักรยานยนต์ใช้ถึง 98.3 คัน ถ้าบวกกับรถจักรยานไฟฟ้าและรถยนต์ มีความหนาแน่นจริง ๆ และสิ่งที่เจ้าของรถ โดยเฉพาะรถจักรยานยนต์ปวดหัวก็คือ รถหายหรือให้คนอื่นยืมไปใช้แล้วไม่ยอมคืน ในอดีตตำรวจจะพก Notebook หรือ Notepad ไล่จิ้มป้ายเลขทะเบียนรถที่จอดข้างทาง บางที่เห็นตำรวจคนเดียว ไล่อ่านและป้อนเลขทะเบียนรถทีละคัน วิธีนี้ช้ามาก บางทีเห็นตำรวจ 2 นาย คนหนึ่งอ่าน อีกคนป้อนเลขทะเบียน เพื่อตรวจดูว่า เป็นรถที่เจ้าของแจ้งความหายหรือแจ้งความยักยอกทรัพย์ให้คนอื่นยืมไปใช้แล้วไม่ยอมคืน และยานพาหนะที่ผู้ร้ายใช้ก่อคดี วิธีนี้ ช่วยตรวจจับคดีรถหายและรถที่มีปัญหาได้เร็วขึ้นหน่อย แต่ก็ยังช้าอยู่ดี กว่าจะไล่ตรวจรถในที่จอดรถขนาดใหญ่หมด ต้องจิ้มจนมือหงิกเลยทีเดียว

    รถสายตรวจตำรวจเถาหยวนติดตั้งระบบอ่านป้ายทะเบียนรถทุกชนิดด้วย AI ที่เรียกว่า M-police สามารถสแกนหรือตรวจจับและอ่านป้ายทะเบียนรถที่อยู่ด้านหน้า ด้านข้างหรือด้านหลังได้อย่างแม่นยำ (ภาพจากสถานีตำรวจเถาหยวน)

    ระบบยังเชื่อมต่อกับศูนย์ควบคุมง่ายต่อการสั่งการเสริมกำลัง (ภาพจากสถานีตำรวจเถาหยวน)

              เริ่มตั้งแต่ต้นปีที่แล้ว ตำรวจใน 6 นคร และเมืองต่าง ๆ ทยอยติดตั้งระบบอ่านป้ายทะเบียนรถทุกชนิดด้วย AI ที่เรียกว่า M-police ผลเป็นที่น่าพอใจ สามารถตรวจจับรถยนต์หรือรถจักรยานยนต์ รวมทั้งรถจักรยานไฟฟ้า และยานพาหนะทุกชนิดที่แขวนแผ่นป้ายเลขทะเบียนว่าเป็นรถถูกกฎหมายหรือเป็นรถที่เจ้าของได้เข้าแจ้งความแล้ว รวมทั้งรถที่ผู้ร้ายใช้ก่อคดี รถที่ปล่อยควันดำ แถมยังเชื่อมต่อกับศูนย์ควบคุมของสถานีตำรวจ หากพบรถที่ป้ายทะเบียนมีปัญหา หรือผู้ร้ายกำลังขับรถแล่นอยู่บนท้องถนน ทางศูนย์ควบคุมจะแจ้งสายตรวจที่อยู่บริเวณใกล้เคียงรุดไป ตัดหน้าหรือปิดล้อมจับกุมได้ทันที เฉพาะที่นครเถาหยวน ระยะเวลาสั้น 6 เดือน ตรวจพบรถที่เจ้าของแจ้งหายและรถมีปัญหาแล้ว 169 คัน

    หน่วยโดรนของสถานีตำรวจนครนิวไทเปติดตั้งระบบอ่านป้ายทะเบียนรถทุกชนิดด้วย AI ที่เรียกว่า M-police

              M-police เป็นคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กคล้ายมือถือ ติดตั้งแอปพลิเคชันสามารถเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลของสำนักงานตำรวจ ราคาไม่แพง ติดตั้งไว้ด้านหน้ารถตำรวจ คล้ายกับกล้องบันทึกภาพที่ติดตั้งในรถยนต์ เมื่ออ่านพบเลขป้ายทะเบียนที่เจ้าของเคยแจ้งหายหรือแจ้งถูกยักยอก จะมีสัญญาณเตือนทันที สามารถสแกนหรือตรวจจับและอ่านป้ายทะเบียนรถที่อยู่ด้านหน้า ด้านข้างหรือด้านหลัง ถ่าย 360° และกวาดจับพร้อมกันหลายคันได้อย่างแม่นยำ แม้รถตำรวจจะเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 30-50 กม./ชม. ใช้งานได้ทั้งกลางวัน กลางคืน โดยไม่ต้องป้อนข้อมูลหรือจิ้มเลขทะเบียนรถยนต์ให้เมื่อยอีกต่อไป ช่วยให้ตำรวจตั้งใจขับรถ ไม่ต้องมาพะว้าพะวังกับการป้อนข้อมูล ลดอุบัติเหตุและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ขณะนี้สถานีตำรวจต่าง ๆ มีการติดตั้งระบบดังกล่าวมากขึ้น ปัญหารถหาย รถถูกคนอื่นยักยอกครอบครองและอาชญากรรมจะลดลงอย่างมาก

    หน่วยโดรนของสถานีตำรวจกรุงไทเป (ภาพจากสถานีตำรวจกรุงไทเป)

              นอกจากติดตั้งในรถแล้ว ขณะนี้ตำรวจทั่วไต้หวัน เริ่มติดตั้งไว้ในโดรน บินบนท้องฟ้าเพื่อสแกนป้ายทะเบียนรถตามท้องถนน ที่จอดรถ โดยไม่ต้องใช้ตำรวจอีก เมื่อพบรถที่มีปัญหาจะแจ้งศูนย์ควบคุม ตำรวจจะรีบไปตรวจจับตามพิกัดที่ระบบแจ้งมา ช่วยตำรวจไต้หวันในปัจจุบัน ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก

    สถานีตำรวจกรุงไทเปโชว์โดรนในระบบ M-Police และปืนยิงโดรน (ภาพจากสถานีตำรวจกรุงไทเป)

  • 1. น่าชื่นชม? คนไต้หวันคลั่งการเมือง หน้าเวทีหาเสียงแต่ละค่ายมีคนร่วมนับแสน แต่ราบรื่นเรียบร้อยและเคารพผลการตัดสินของประชาชน

           ทุกตำแหน่งในไต้หวันไม่ว่าจะฝ่ายบริหารและการเมืองล้วนมาจากการเลือกตั้ง และดูเหมือนว่ามีการเลือกตั้งตลอดเวลา จนถูกยกให้เป็นเกาะแห่งการเลือกตั้ง จริง ๆ แล้ว ไต้หวันมีการเลือกตั้ง 2 รายการ ได้แก่การเลือกตั้งระดับท้องถิ่น ตั้งแต่ผู้ว่าการเมือง สมาชิกสภาเทศบาล กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน รวมทั้งหมด 9 รายการ และการเลือกตั้งระดับประเทศ ได้แก่ ประธานาธิบดี รองประธานาธิบดีและสมาชิกสภานิติบัญญัติหรือ ส.ส. โดยการเลือกตั้งทั้ง 2 รายการจัดขึ้นทุก 4 ปี แต่จะเหลื่อมและสลับกันไปทุก 2 ปี ทำให้มีการเลือกตั้งทุก 2 ปี จึงดูเหมือนว่า มีการเลือกตั้งตลอดเวลา โดยชาวไต้หวันค่อนข้างตื่นตัว ใส่ใจสิทธิ์ทางการเมืองของตน จนอาจกล่าวได้ว่าถึงขั้นคลั่งไคล้ก็ได้ ในครอบครัวเดียวกัน สมาชิกในครอบครัวอาจสนับสนุนพรรคการที่แตกต่างกัน ในอดีตทะเลาะจนบ้านแตก แต่หลายปีมานี้หาทางออกและปรองดองกันได้แล้ว หากคนครอบครัวมีความเห็นทางการเมืองแตกต่างกัน อยู่ในบ้านก็จะหลีกเลี่ยงพูดเรื่องการเมือง ทุกวันนี้ สามีภรรยาและลูกแม้จะมีความเห็นทางการเมืองต่างกัน แต่ก็อยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ จึงสร้างความประหลาดใจให้แก่ชาวต่างชาติอย่างมากว่า ถึงแม้จะดุเดือด คลั่งไคล้ และศรัทธาพรรคการเมืองในใจ ดูจากการหาเสียงเลือกตั้งแต่ละครั้งของพรรคการเมือง หน้าเวทีจะเต็มไปด้วยผู้สนับสนุนนับหมื่นนับแสน แต่ก็เรียบร้อยราบรื่น ไม่มีเหตุการณ์ปะทะนองเลือด การเลือกตั้งก็เป็นไปอย่างเรียบร้อยทุกครั้ง ที่สำคัญมีการเคารพผลการเลือกตั้ง สภาพการณ์ที่แพ้เลือกตั้งแล้ว ผู้สนับสนุนไม่ยอมเกิดการชุมนุมประท้วง จนกลายเป็นการปะทะนองเลือด ไม่มีเกิดขึ้นในไต้หวัน นี่เป็นสิ่งที่น่าชื่นชม

    ภาพเวทีหาเสียงของนายไล่ชิงเต๋อ พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าหรือ DPP คืนก่อนวันเลือกตั้ง เมื่อ 12 ม.ค. 67

           ทำไมการเลือกตั้งในไต้หวัน ซึ่งดุเดือด มีการโจมตีคู่ต่อสู้เผ็ดมัน เช่นมีเรื่องที่ผิดกฎหมาย อย่างครั้งนี้ทั้ง 3 ค่ายต่างมีการนำเอาบ้านและที่ดินผิดกฎหมายของฝ่ายตรงกันข้ามมาเปิดโปง นอกจากนี้พฤติกรรมที่ผิดศีลธรรม เช่นนอกจากคู่สมรส มีภาพหรือคลิปหลุดเอามาแฉใกล้ถึงวันเลือกตั้ง หรือลอกวิทยานิพนธ์ของคนอื่น จนผู้สมัครหลายคนต้องถอนตัวจากการเลือกตั้ง ส.ส. กล่าวได้ว่าการเลือกหาเสียงตั้งในไต้หวัน ไม่แพ้การเลือกตั้งประเทศใด ๆ ในโลก แต่ช่วงระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งจนถึงวันเลือกตั้ง กลับราบรื่นเรียบร้อยและยอมรับผลการเลือกตั้ง ใช่ว่าในหมู่ชาวไต้หวันจะไม่มีคนคลั่งไคล้และศรัทธานักการเมืองการแบบเหนือกว่าเหตุผล แต่นั่นก็เป็นส่วนน้อย คนเหล่านี้ หากแสดงพฤติกรรมที่เลยเถิด ไม่ได้ช่วยนักการเมืองในใจของตน แต่อาจเป็นการสร้างภาพด้านลบให้แก่นักการเมืองที่ตนสนับสนุนก็ได้ ดังนั้น การมีสติและวิจารณญาณของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งส่วนใหญ่ น่าจะเป็นกลไกสำคัญที่ทำให้การเลือกตั้งไต้หวัน แม้จะดุเดือด แต่ก็เป็นไปอย่างราบรื่น

    ภาพเวทีหาเสียงของพรรคก๊กมินตั๋ง (KMT) สนามกีฬาปั่นเฉียว นครนิวไทเป คืนก่อนวันเลือกตั้ง เมื่อ 12 ม.ค. 67 (ภาพจาก FB โหวโย่วอี๋)

           อย่างไรก็ตาม การหมกมุ่นกับบรรยากาศด้านการเมืองมากเกินไป ผลก็คือ ประชาชนจำนวนมากมีอาการการเลือกตั้ง อย่างเช่น กระวนกระวาย ไม่สบายใจ มีอารมณ์ฉุนเฉียว เกิดอาการกลัว หวาดระแวง มีปัญหามนุษยสัมพันธ์และนอนไม่หลับ โดยเฉพาะหลังเลือกตั้ง จะต้องมีฝ่ายหนึ่งที่แพ้การเลือกตั้ง ผู้สนับสนุนจะเกิดอาการเศร้าเสียใจ ขณะที่ผู้สนับสนุนของฝ่ายที่คว้าชนะ ก็มีโอกาสป่วยได้เช่นกัน เพราะดีใจจนเลยเถิด คุณหมอจึงเตือนว่า อย่าคลั่งไคล้เกินไป อาจเกิดโรคกลุ่มอาการคลั่งการเลือกตั้งได้ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่ายินดีอยู่อย่างหนึ่งก็คือ แม้การหาเสียงเลือกตั้งในไต้หวันจะดุเดือดเข้มข้น แต่ก็จบลงด้วยความราบรื่นสันติ ไม่มีปัญหาวุ่นวายหรือเกิดการปะทะนองเลือด

    เวทีหาเสียงหน้าทำเนียบประธานาธิบดีของพรรคประชาชนไต้หวัน TPP คืนก่อนวันเลือกตั้ง เมื่อ 12 ม.ค. 67 (ภาพจาก TPP)

    2. รู้ไหม? พรรคการเมืองและผู้สมัครรับเลือกตั้ง หากได้รับคะแนนเสียงตามที่กำหนด จะได้รับเงินอุดหนุนจากรัฐบาลประธานาธิบดีและ ส.ส. เสียงละ 30 เหรียญ พรรคการเมืองเสียงละ 50 เหรียญต่อปี เพื่อช่วยการดำเนินกิจการของพรรค

           การเลือกตั้งของไต้หวัน มีมาตรการส่งเสริมพรรคการเมืองบางอย่างที่น่าสนใจ หลายคนอาจไม่รู้ว่าการเลือกตั้งต้องเสียค่าใช้จ่ายค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะทำป้ายโฆษณาหาเสียง แจกแผ่นพับ แจกของใช้เล็ก ๆ ที่พิมพ์ภาพถ่ายและหมายเลขผู้สมัคร ส.ส. แต่ต้องมีราคาไม่เกิน 30 เหรียญต่อชิ้น เกินจากนี้เข้าข่ายซื้อเสียง เป็นเรื่องผิดกฎหมาย แล้วค่าใช้จ่ายการเลือกตั้ง จริง ๆ แล้วเท่าไหร่ ขึ้นอยู่กับจำนวนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง อย่างครั้งนี้ ตามการประกาศของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ผู้สมัครรับเลือกตั้งตำแหน่งประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีแต่ละคู่ห้ามเกิน 427 ล้านเหรียญไต้หวัน ตำแหน่ง ส.ส. ห้ามเกิน 19.8 ล้านเหรียญ แต่จริง ๆ แล้ว ส่วนที่ไม่ปรากฏน่าจะมีมากกว่านี้แน่ ๆ

           เงินเดือน 4 ปีจะได้ทุนคืนไหม? คำตอบคือ ไม่ ดังนั้น รัฐบาลจึงมีเงินอุดหนุนผู้สมัครรับเลือกตั้งอย่างมีเงื่อนไข กล่าวคือ ตำแหน่งประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี จะได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลเสียงละ 30 เหรียญ หากได้รับคะแนนเสียงเกิน 1 ใน 3 ของผู้ชนะการเลือกตั้ง คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง 19.5 ล้านคน สมมุติว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ มีผู้ไปใช้สิทธิ์ 70% หรือ 13.6 ล้านคน คู่ชนะการเลือกตั้งได้คะแนนเสียง 45% ของผู้มาใช้สิทธิ์ ซึ่งก็คือประมาณ 6 ล้านเสียง จะได้เงินสนับสนุน 180 ล้านเหรียญ ส่วนผู้สมัครคนอื่นที่ได้คะแนนเสียงเกิน 1 ใน 3 ของผู้ชนะ หรือ 2 ล้านเสียงขึ้นไป ก็จะมีสิทธิ์ได้รับเงินอุดหนุนเสียง 30 เหรียญเช่นกัน โดยรับครั้งเดียว ต่ำกว่ากำหนด จะไม่มีสิทธิ์

    ภายในสภานิติบัญญัติของไต้หวัน (ภาพจาก CNA)

            สำหรับ ส.ส. แบบแบ่งเขต คนชนะการเลือกตั้งจะได้รับเงินอุดหนุนคะแนนเสียง เสียงละ 30 เหรียญ คนที่แพ้การเลือกตั้งแต่มีคะแนนเสียงเกิน 1 ใน 3 ของผู้ชนะการเลือกตั้ง ก็มีสิทธิ์รับเงินช่วยเหลือเช่นกัน ในอัตราคะแนนเสียงละ 30 เหรียญ และรับเป็นก้อนครั้งเดียว

            ส่วนพรรคการเมืองที่ได้รับคะแนนเสียงเกิน 3% ของผู้มาใช้สิทธิ์ลงคะแนนเสียงทั้งหมด จะได้รับเงินสนับสนุนพรรคเสียงละ 50 เหรียญต่อปี และสามารถรับได้ 4 ปี เพื่อเป็นเงินช่วยเหลือดำเนินกิจการของพรรค หากได้รับคะแนนเสียงเกิน 2% ไม่ถึง 3% จะไม่ได้รับเงินช่วยพรรค แต่ให้สิทธิ์ส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. แบบแบ่งเขต 10 คน ในการเลือกตั้งถัดไป 3 ครั้ง

    ภาพบรรยากาศพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งสมาชิกสภานิติบัญญัติ

            ก็เป็นการส่งเสริมให้พรรคการเมืองในไต้หวัน โดยเฉพาะพรรคเล็ก สามารถดำเนินกิจการทางการเมืองของพรรคและมีแข่งขันกันอย่างเป็นธรรมต่อไปได้

    3. ความเป็นมาของการเลือกตั้งไต้หวัน

           ไต้หวันเป็นชื่อที่เรียกกันทั่วไปตามพื้นที่ ชื่ออย่างเป็นทางการของประเทศคือ สาธารณรัฐจีน ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1912 เริ่มมีการเลือกตั้งผู้นำ คือประธานาธิบดีสมัยแรกตั้งแต่ ปี ค.ศ. 1948 ขณะนั้นยังอยู่จีนแผ่นดินใหญ่ เป็นการเลือกตั้งโดยทางอ้อม คือประชาชนเป็นผู้เลือกสมาชิกสมัชชาแห่งชาติออกมาก่อน จากนั้นสมาชิกสมัชชาแห่งชาติค่อยมาเลือกประธานาธิบดีอีกต่อครั้ง หลังจากที่สาธารณรัฐจีนแพ้สงครามกลางเมือง ย้ายหลักปักฐานมาอยู่ที่เกาะไต้หวันเมื่อปี ค.ศ. 1949 ก็ยังใช้ระบบเลือกตั้งผ่านสมัชชาแห่งชาติเรื่อยมา จนกระทั่งปี ค.ศ. 1996 การเลือกตั้งประธานาธิบดีสมัยที่ 9 จึงเปลี่ยนมาใช้ระบบเลือกตั้งผู้นำโดยตรงจากประชาชน และผู้นำคนแรกที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนคือ อดีตประธานาธิบดีลีตึงฮุย จนกระทั่งถึงขณะนี้ เป็นการเลือกตั้งประธานาธิบดีสมัยที่ 16

    บรรยากาศหน้าคูหาเลือกตั้งแห่งหนึ่งในไทเป ชาวไต้หวันต่อคิวเพื่อหย่อนบัตรลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเมื่อเช้าวันที่ 13 มกราคม 2567

            การเลือกตั้งในไต้หวันแบ่งเป็น 2 รายการ ได้แก่การเลือกตั้งระดับท้องถิ่น อย่างผู้ว่าการเมืองต่างๆ และสมาชิกสภาเทศบาลรวม 9 รายการ และการเลือกตั้งระดับประเทศ คือการเลือกตั้งประธานาธิบดี รองประธานาธิบดีและสมาชิกสภานิติบัญญัติก็คือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของไทยนั่นเอง การเลือกตั้งทั้งสองรายการจัดขึ้นทุก 4 ปี แต่จะเหลื่อมกัน 2 ปี มาในครั้งนี้ เป็นการเลือกตั้งประธานาธิบดีสมัยที่ 16 และสมาชิกสภานิติบัญญัติสมัยที่ 11 จัดให้มีขึ้นในวันเสาร์ที่ 13 มกราคมนี้ ชาวไต้หวันต้องหย่อนบัตรเลือกตั้ง 3 ใบ ได้แก่บัตรเลือกตั้งประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี โดยมีผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี ซึ่งต้องลงสมัครคู่กัน 3 ทีม จาก3 พรรคการเมือง ใบที่สองเป็นบัตรเลือกตั้ง ส.ส. แบบแบ่งเขต ซึ่งมี 73 เขต ส.ส. ชนพื้นเมือง 6 ที่นั่ง และใบที่ 3 ได้แก่บัตรเลือกตั้งความนิยมพรรคการเมือง เพื่อจัดสรร ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อพรรคหรือปาร์ตี้ลิสต์ 34 ที่นั่ง รวม ส.ส. ทั้งหมด 113 ที่นั่ง โดยปีนี้ มีพรรคการเมืองส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. ปาร์ตี้ลิสต์ ถึง 16 พรรค ซึ่งผลการเลือกตั้งก็รู้กันแล้วจากในแฟนเพจหรือเว็บ Rti

    เมื่อเช้าวันที่ 13 มกราคม 2567 ชาวไต้หวันออกมาต่อแถวยาวเหยียด เพื่อรอหย่อนบัตรลงคะแนนเสียงเลือกตั้งในโรงเรียนแห่งหนึ่งในกรุงไทเป (ภาพจาก CNA)

          ระบบการเลือกตั้งของไต้หวันค่อนข้างรัดกุม ใช่ว่าใครอยากลงสมัครรับเลือกตั้งก็ทำได้ มีระบบป้องกันคนลงสมัครรับเลือกตั้งแบบหลอก ๆ เพื่อช่วยผู้สมัครที่ตนสนับสนุนก่อกวนคู่ต่อสู้ สำหรับคุณสมบัติมีดังนี้ :   

          - ผู้สมัครรับเลือกตั้งตำแหน่งประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีของ ต้องเป็นพลเมืองของไต้หวัน อายุ 40 ปีบริบูรณ์ และต้องเป็นผู้พำนักอาศัยอยู่ในไต้หวันไม่ต่ำกว่า 6 เดือน และมีทะเบียนบ้านตั้งอยู่ในไต้หวันมากกว่า 15 ปี

          - การลงสมัครรับเลือกตั้งตำแหน่งประธานาธิบดี มี 2 ช่องทาง ช่องทางแรก เสนอชื่อโดยพรรคการเมืองที่ได้รับคะแนนเสียงการเลือกตั้งครั้งล่าสุดไม่ต่ำกว่า 5% ของผู้มาใช้สิทธิ์การเลือกตั้งครั้งล่าสุด สำหรับผู้สมัครอิสระ (ปีนี้ไม่มี) จะต้องจ่ายค่าลงทะเบียนรับแบบฟอร์มลงนามของผู้สนับสนุนการเลือกตั้ง 1 ล้านเหรียญไต้หวัน จากนั้นภายในเวลา 45 วัน จะต้องล่ารายชื่อผู้สนับสนุนตน พร้อมแนบสำเนาบัตรประชาชนให้ได้มากกว่า 1.5% ของผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งครั้งล่าสุด หากรายชื่อผู้สนับสนุนไม่ครบจำนวนตามที่กำหนด จะหมดสิทธิ์ลงทะเบียนเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ หากจำนวนคนลงชื่อสนับสนุนไม่ถึงครึ่ง เงินค่าลงทะเบียน 1 ล้านเหรียญจะถูกยึดไม่สามารถขอรับคืนได้

          - ไม่ว่าจะเป็นผู้สมัครที่เสนอชื่อโดยพรรคการเมืองหรือผู้สมัครอิสระ จะต้องลงทะเบียนเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งอย่างเป็นทางการตามวันกำหนด การเลือกตั้งครั้งนี้สมัครเมื่อ 20-24 พ.ย. 2566 และต้องจ่ายเงินค่าประกันการสมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีทีมละ 15 ล้านเหรียญไต้หวัน เงินจำนวนนี้จะได้รับคืน เมื่อผลการเลือกตั้งได้รับคะแนนเสียงในสัดส่วนเกินกว่า 5% ของผู้มาใช้สิทธิ์ลงคะแนนเสียงทั้งหมด แต่หากไม่ถึง 5% จะไม่ได้รับเงินช่วยเหลือและไม่คืนเงินประกัน 15 ล้านเหรียญไต้หวัน

    4. เลือก ส.ส. หรือต้องการสร้างสีสันกันแน่? ผู้สมัคร ส.ส. บางคนชูนโยบายเปิดเสรีกัญชา ค้าประเวณี บางคนขึ้นป้ายขอแฟนสาวแต่งงาน

             การเลือกตั้งของไต้หวันในครั้งนี้ มีอีกสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจ นั่นก็คือกลยุทธ์ที่ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. นำมาใช้ดึงดูดความสนใจของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง อาทิ เสนอนโยบายที่แปลกแหวกแนว แต่งตัวแปลกพิสดาร หรือใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ มาช่วยดึงดูดสายตาผู้คน บางคนใช้เวทีประกาศขอแฟนสาวแต่งงาน เป็นต้น อย่าง นายจูอวี่หมิน (朱翊銘) ผู้สมัคร ส.ส. กรุงไทเป เสนอนโยบายมากถึง 13 รายการ ซึ่งได้รับความสนใจจากสื่อโซเชียลมาก โดยในจำนวนนี้คือ เสนอให้เปิดเสรีกัญชาและการค้าประเวณี  ห้ามร้านหม้อไฟเติมเผือกลงในหม้อไฟ และข้าวแกงกะหรี่ห้ามคนให้เข้ากัน เป็นต้น ทำให้กลายเป็นประเด็นในโซเชียล เขาให้เหตุผลว่า คนส่วนใหญ่คิดว่าการใส่เผือกในลงในหม้อไฟเป็นสิ่งที่รับไม่ได้การเสนอนโยบายนี้เป็นการทำตามเจตนารมณ์ของคนส่วนใหญ่

     จูอวี่หมิน ผู้สมัครฯ ส.ส. กรุงไทเป เสนอนโยบายมากถึง 13 รายการ รวมเปิดเสรีกัญชาและการค้าประเวณี ได้รับความสนใจจากชาวเน็ตไม่น้อย (ภาพจาก ETtoday)

            นายซูฉวินเจี๋ย (蘇群傑) ผู้สมัคร ส.ส. เมืองจางฮั่ว ใช้เงิน 2 แสนเหรียญไต้หวันลงสมัคร ส.ส. เขต 1 เมืองจางฮั่ว เพื่อขอแฟนสาวแต่งงาน และนี่คือนโยบายเพียงหนึ่งเดียวของเขา เขาเผยว่า อันที่จริงผมรู้จักผู้หญิงคนนั้น รู้จักกันมากว่า10 ปี แล้วดังนั้นจึงอยากใช้โอกาสนี้ขอแต่งงาน เพราะเงินค่าสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. 200,000 เหรียญ ถูกกว่าการซื้อโฆษณาจากสื่อมาก

    ซูฉวินเจี๋ย ผู้สมัคร ส.ส. เมืองจางฮั่ว ใช้เงิน 2 แสนเหรียญไต้หวันลงสมัคร ส.ส. เพื่อขอแฟนสาวแต่งงาน (ภาพจาก UDN)

          นอกจากนโยบายทางการเมืองที่แปลกและมีเอกลักษณ์เท่านั้น ในการแถลงนโยบาย ผู้สมัคร ส.ส. หลายคนบรรจงแต่งกายให้โดดเด่น และเตรียมอุปกรณ์มามากมายมาดึงดูดสายตาผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง นายเจียงเยว่ฮุ่ย (蔣月惠) สมาชิกสภาเทศบาลเมืองผิงตง ซึ่งลงสมัคร ส.ส. แต่งกายเป็นมนุษย์ค้างคาว ไม่เพียงแต่โปรยเงินให้แก่ชาวบ้าน ยังสีไวโอลินและเธอยังเสนอนโยบายให้เงินอุดหนุน 2 แสนเหรียญในการคลอดบุตร

    เจียงเยว่ฮุ่ย ผู้สมัคร ส.ส. แต่งกายเป็นมนุษย์ค้างคาว (ภาพจาก ETtoday)

          นายจางหัวเท่อ (張華特) ผู้สมัคร ส.ส. กรุงไทเป เสนอนโยบายเปิดเสรีการเล่นไพ่นกกระจอก นายเฉินหยวนฟา (陳源發) ผู้สมัคร ส.ส. กรุงไทเป เสนอนโยบายผลักดันไต้หวันให้เป็นชาติมหาอำนาจ ด้วยการใช้หลักการ hybrid vigor หรือ ลูกผสมที่มีลักษณะดีและเด่นเหนือพันธุ์พ่อและแม่ โดยดึงดูดหนุ่มสาวรุ่นใหม่ที่สุขภาพแข็งแรง ฉลาด หล่อและสวยจากทั่วทุกมุมโลก เข้ามาพำนักและตั้งถิ่นฐานในไต้หวัน

  • 1. เตือนไข้หวัดใหญ่มาแรง..ป่วยนานและระบาดวงกว้าง ช่วงส่งท้ายปีเก่าสัปดาห์เดียว ในไต้หวันผู้ป่วยล้นโรงพยาบาล พุ่ง 110,000 คน ทุบสถิติในรอบ 4 ปี

              ฤดูหนาวปีนี้ โรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจซึ่งมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ระบาดหนัก ประกอบกับช่วงหยุดยาวปลายปีอากาศในไต้หวันค่อนข้างหนาวและชื้นแฉะ กรมควบคุมโรคไต้หวันแถลงเมื่อวันที่ 2 ม.ค. ที่ผ่านมาว่า ไม่เพียงแต่มีผู้ป่วยโรคหลอดเลือดที่เสียชีวิตเนื่องจากอากาศหนาวจัดเพิ่มมากขึ้นนับเป็นร้อยรายแล้ว ผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ก็พุ่งสูงสุดในรอบ 4 ปี สัปดาห์เดียวมีจำนวนถึง 109,394 ราย ทำให้ผู้ป่วยล้นโรงพยาบาลและคลินิก อัตราส่วนของผู้ป่วยนอกและผู้ป่วยฉุกเฉิน 1.62% และ 13% ตามลำดับ และคาดว่า จะมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นใน 1-2 เดือนข้างหน้า จึงเรียกร้องให้ผู้มีอายุ 50 ปีขึ้นไปและผู้มีความเสี่ยงสูงรีบไปรับการฉีดวัคซีนฟรี ซึ่งยังเหลือประมาณ 260,000 โดสจากสถานพยาบาลท้องที่ได้ ส่วนผู้ที่ไม่อยู่ในเกณฑ์รับฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ฟรี ก็ไปรับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ได้ในราคาเข็มละ 800-1,200 เหรียญ ขึ้นอยู่กับยี่ห้อของวัคซีน

    สถานพยาบาลทั่วไต้หวัน เต็มไปด้วยคนไข้ที่ป่วยเป็นโรคระบบทางเดินหายใจ โดยเฉพาะไข้หวัดใหญ่

    2. โควิดกลับมาหลอน! คาดกลางมกราคมนี้เป็นต้นไป โควิดสายพันธุ์ใหม่ JN.1 ทำผู้ป่วยยืนยันรายวันเพิ่ม 20,000 ราย สนามบินเถาหยวนแจกใหม่ ATK คนละกล่อง

              โควิด-19 ยังไม่หาย แถมกลับมาระบาดระลอกใหม่อีกครั้ง ซึ่งเป็นการระบาดระลอกที่ 5 คาดจะเริ่มรุนแรงตั้งแต่กลางเดือนมกราคมนี้เป็นต้นไป กรมควบคุมโรคแถลงว่า สถานการณ์การระบาดของโควิดสายพันธุ์ย่อย JN.1 ที่เริ่มแพร่ระบาดและจะกระจายทั่วไต้หวันไปจนถึงปลายเดือนเมษายน และช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเพียงสัปดาห์เดียว ผู้ป่วยโควิดที่ติดเชื้อในไต้หวัน และเป็นผู้ป่วยอาการหนักมีมากถึง 360 ราย และเสียชีวิตแล้ว 38 ราย จัดเป็นตัวเลขสูงสุดในรอบ 4 เดือน ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่ติดเชื้อโควิดสายพันธุ์ XBB ทั้งหมดไม่เคยรับวัคซีนป้องกันโควิดสายพันธุ์มาก่อน

    ในคืนส่งท้ายปีเก่า ตามสถานีขนส่งมวลชนเต็มไปด้วยผู้คนที่ไปเคานต์ดาวน์ต้อนรับปีใหม่ ทำให้โควิด-19 เกิดการระบาดในวงกว้าง  (ภาพจาก chinatimes.com)

              เฉพาะที่นครไทยจง ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มีผู้ป่วยอาการหนักถึง 65 ราย กุมารแพทย์รายหนึ่งที่ไทจงกล่าวว่า เนื่องจากอากาศหนาวและเป็นวันหยุด ครอบครัวส่วนใหญ่จะอยู่ในบ้านไม่ได้ไปไหน หากในครอบมีสมาชิกคนใดคนหนึ่งติดเชื้อ ก็จะป่วยยกครอบครัว อย่างครอบครัวหนึ่ง เล่นไพ่นกกระจอกในบ้านช่วงวันหยุดยาวที่ผ่านมา ปรากฏว่า ป่วยเป็นโรคโควิดทั้งครอบครัว

              กรมควบคุมโรคเตือนว่า JN.1  เป็นสายพันธุ์ย่อยของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ที่หลบเลี่ยงระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมนุษย์ได้ดีกว่าและแพร่กระจายได้เร็วกว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ในไต้หวันมีผู้ป่วยติดเชื้อสายพันธุ์นี้คิดเป็น 14% ของผู้ป่วยโควิดทั้งหมด แต่กำลังจะกลายเป็นสายพันธุ์หลักที่โจมตีไต้หวันตั้งแต่กลางเดือนมกราคมนี้เป็นต้นไป

    คาดกลางมกราคมนี้เป็นต้นไป โควิดสายพันธุ์ใหม่ JN.1 ทำผู้ป่วยยืนยันรายวันเพิ่ม 20,000 ราย (ภาพจาก www.cw.com.tw)

              เพื่อป้องกันผู้โดยสารติดเชื้อจากต่างประเทศ เริ่มตั้งแต่วันที่ 3 มกราคมเป็นต้นมา กรมควบคุมโรคจะแจกฟรีชุดตรวจ ATK ให้แก่ผู้โดยสารทั้งขาเข้าและขาออกคนละ 1 กล่อง (5 ชุดทดสอบ) สามารถรับได้ 4 จุดในอาคารผู้โดยสารที่ 1 และ 2 ท่าอากาศยานนานาชาติเถาหยวน ช่วงเวลา 07.00-22.30 น. ทุกวัน

    เพื่อป้องกันผู้โดยสารติดเชื้อจากต่างประเทศ วันที่ 3 มกราคมเป็นต้นมา กรมควบคุมโรคจะแจกฟรีชุดตรวจ ATK ให้แก่ผู้โดยสารทั้งขาเข้าและขาออกสนามบิน คนละ 1 กล่อง (5 ชุดทดสอบ)

              ผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 ทั้งหมดยังไม่เคยรับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิดสายพันธุ์ XBB จึงเรียกร้องให้รีบไปรับการฉีดวัคซีนฟรีได้ ขณะเดียวกันก็เรียกร้องให้ทุกคนปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการติดเชื้ออย่างเต็มที่ เช่นการสวมใส่หน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือและหลีกเลี่ยงไปยังสถานที่ที่มีผู้คนแออัด

    โรคโควิด-19 กลับมาระบาดอีกรอบ เตือนให้สวมหน้ากากอนามัยและหมั่นล้างมือ หลีกเลี่ยงไปยังสถานที่ที่มีผู้คนแออัด (ภาพจาก tw.nextapple.com)

    3. ปักหมุด  "7 จุดไฮไลท์ชมดอกเหมย" บานสะพรั่งทั่วไต้หวัน ชวนให้ตื่นตาตื่นใจ

              ช่วงหลังปีใหม่อากาศในไต้หวันยังคงหนาวเย็น นอกจากการไปอาบน้ำแร่หรือออนเซ็นกันแล้ว คนไต้หวันยังนิยมไปชมดอกเหมยกัน โดยเฉพาะในช่วงเดือนมกราคมจะเป็นช่วงที่ดอกเหมยจะเบ่งบาน ดอกเหมยในไต้หวันมีหลายสายพันธุ์  ได้แก่ สีขาว สีแดง และสีชมพู หากปีไหนอากาศหนาวมากๆดอกเหมยจะยิ่งสวยงามและบานสะพรั่งมากเป็นพิเศษ

              ดอกเหมยซึ่งภาษาจีนเรียกว่า เหมยฮัว (梅花) หรือจะเรียกว่าดอกบ๊วยหรือดอกพลัม (Plum blossom) เนื่องจากเป็นดอกไม้ที่เบ่งบานได้ดีท่ามกลางสภาพอากาศที่หนาวเหน็บ กลีบดอก 5 กลีบที่ดูบอบบาง แต่กลับทนความหนาวเย็นได้ดี ยิ่งหนาวยิ่งบานสะพรั่งและสวยงาม สะท้อนถึงจิตวิญญาณของคนเชื้อสายจีนที่ต่อสู้ชีวิตอย่างทรหดอดทนและไม่ยอมแพ้ต่อสภาพแวดล้อมที่ลำบากยากเย็นแสนเข็ญ จึงได้รับเลือกให้เป็นดอกไม้ประจำชาติของสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน)

    ดอกเหมยในไต้หวันมีหลายสายพันธุ์  ได้แก่ สีขาว สีแดง และสีชมพู

              ในสัปดาห์นี้จะแนะนำสถานที่ชมดอกเหมยที่มีชื่อเสียงและเดินทางสะดวก เพื่อให้เพื่อนผู้ฟังที่สนใจจะได้หาเวลาไปเที่ยวชมกัน 7 แห่ง ดังนี้

              1. เขตทัศนียภาพเหมยหลิ่ง (Meiling Scenic Area หรือ 梅嶺風景區) นครไถหนาน จัดว่าเป็นสถานที่ชมดอกเหมยที่ใหญ่และมีชื่อเสียงมากที่สุดในเขตภาคใต้ของไต้หวัน ภายในมีต้นเหมยประมาณ 2 แสนต้น มีเส้นทางชมดอกเหมย 6 เส้นทาง ปีนี้ดอกเหมยทยอยเบ่งบานตั้งแต่ปลายเดือนธันวาคม ยิ่งเดินขึ้นไปบนภูเขาสูงจะยิ่งพบเห็นดอกเหมยได้มากยิ่งขึ้น ที่นี่เปิดให้เข้าชมฟรี

              วิธีเดินทางด้วยระบบขนส่งมวลชน : สามารถใช้บริการรถเมล์ประจำทางของบริษัทซิงหนาน (興南客運)  สาย เขียว 22 ซึ่งจะให้บริการผู้โดยสารไปยังเขตทัศนียภาพเหมยหลิ่ง

    เขตทัศนียภาพเหมยหลิ่ง (Meiling Scenic Area หรือ 梅嶺風景區) นครไถหนาน (ภาพจาก xinmedia.com)

                พิกัด : เขตทัศนียภาพเหมยหลิ่ง 梅嶺風景區 https://maps.app.goo.gl/s7pkEVFidekpiL6s8 

              2. บ้านพักตากอากาศเจียวป่านซาน (Jiaobanshan Residence หรือ角板山行館)  นครเถาหยวน เป็นสถานที่ชมดอกเหมยที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งทางภาคเหนือของไต้หวัน ภายในมีสวนดอกเหมยที่ปลูกต้นเหมยไว้ประมาณ 300 ต้น แม้จะไม่มากนักแต่เนื่องจากอยู่บนภูเขา ทำให้ดอกเหมยที่นี่สวยงามมาก เทศบาลนครเถาหยวนจะจัดเทศกาลชมดอกเหมยเป็นประจำทุกปี และเปิดให้เข้าชมฟรี

              วิธีเดินทางด้วยระบบขนส่งมวลชน :

               โดยสาร Taiwan Tourist Shuttle Bus (台灣好行 ) ที่สถานีขนส่งข้างสถานีรถไฟความเร็วสูง (THSR) สถานีเถาหยวน ที่ประตูทางออก 5  ช่อง 9

               โดยสารรถบัสประจำทาง โดยไปขึ้นที่สถานีขนส่งต้าซี นครเถาหยวน สาย 5090、5091、5093、5094、5104、5105、5106、5107、5109

              พิกัด : 角板山公園 https://maps.app.goo.gl/jRhpTE9e7ELMVCMh6

    สวนดอกเหมยที่บ้านพักตากอากาศเจียวป่านซาน นครเถาหยวน (ภาพจาก udn.com)

              3. อนุสรณ์สถานเจียงไคเชก  (Chiang Kai-shek Memorial Hall หรือ 中正紀念堂) กรุงไทเป ภายในอาณาบริเวณของอนุสรณ์สถานเจียงไคเชก มีสวนดอกเหมย ที่ปลูกต้นดอกเหมยร่วม 100 ต้น ที่มีชื่อเสียงคือดอกเหมยพันธุ์กงเฟิ่น (宮粉梅  ชื่อวิทยาศาสตร์ Prunus mume f. alphandii (Carr.) Rehd.)  ซึ่งเป็นดอกเหมยสีชมพู สวยงามมากจะบานช่วงเดือนกุมภาพันธ์-ต้นมีนาคม แต่ก็มีบางส่วนที่เป็นพันธุ์สีขาวที่จะเบ่งบานในเดือนมกราคม

              วิธีเดินทางด้วยระบบขนส่งมวลชน :  นั่งรถไฟฟ้าสายสีแดง (R) หรือสายสีเขียว(G) ลงที่สถานีอนุสรณ์สถานเจียงไคเชก (CKS Memorial Hall Station R08, G10) ออกประตู 5 หรือประตู 3

              พิกัด : 國立中正紀念堂 https://maps.app.goo.gl/6MhVGEYjRo1fQu5J8

    สวนดอกเหมยในอนุสรณ์สถานเจียงไคเชก กรุงไทเป (ภาพจาก 17travel.tw)

    ในอนุสรณ์สถานเจียงไคเชกมีดอกเหมยพันธุ์กงเฟิ่น ซึ่งเป็นดอกเหมยสีชมพู สวยงามมากจะบานช่วงเดือนกุมภาพันธ์-ต้นมีนาคม

              4. บ้านพักอดีตประธานาธิบดีเจียงไคเชกที่ซื่อหลิน (士林官邸) กรุงไทเป มีสวนดอกไม้ที่ปลูกต้นดอกเหมย ซากุระ กุหลาบ และกล้วยไม้ ในช่วงเดือนมกราคม- กุมภาพันธ์ของทุกปีดอกเหมย ดอกซากุระและดอกกุหลาบจะบานแข่งกัน เป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ไม่ควรพลาด

              วิธีเดินทางด้วยระบบขนส่งมวลชน :  นั่งรถไฟฟ้าสายสีแดง (R) ลงที่สถานีซื่อหลิน (R16) ออกประตู 2 เดินไปประมาณ 10 นาที

              พิกัด : 士林官邸公園 https://maps.app.goo.gl/XXMQYwAKZa4gpzeG7

    ดอกเหมยที่บ้านพักอดีตประธานาธิบดีเจียงไคเชกที่ซื่อหลินหรือซื่อหลินกวนตี่ ในกรุงไทเป (ภาพจาก walkerland.com.tw)

              5. ฟาร์มอู่หลิง (武陵農場) นครไทจง มีดอกเหมยสีขาว สีชมพูและสีแดง รวม 3,000 ต้น ที่น่าสนใจคือที่นี่มีต้นเหมยโบราณ 2 ต้นปลูกไว้ที่หน้าบ้านพักตากอากาศของอดีตประธานาธิบดีเจียงไคเชกในฟาร์มอู่หลิง แต่ไม่สามารถคำนวณได้ว่ามีอายุเท่าไหร่ ได้รับสมญานามว่า ราชาเหมย(梅王) และราชินีเหมย(梅后) ใครที่ไปชมดอกเหมยที่นี่ อย่าพลาดชมต้นเหมยสองต้นนี้เป็นอันขาด การเข้าชมฟาร์มอู่หลิง มีค่าเข้าชม 130 เหรียญสำหรับวันธรรมดาและ160 เหรียญสำหรับวันหยุด

              วิธีเดินทางด้วยระบบขนส่งมวลชน :

               นั่งรถไฟไปลงที่สถานีอี๋หลานจากนั้นต่อรถบัสของ บริษัทขนส่งกั๋วกวง (Kuo Kuang Bus) สาย 1751 ไปลงที่สถานีอู่หลิง

               นั่งรถไฟไปลงที่สถานีหลัวตงจากนั้นต่อรถบัสของ บริษัทขนส่งกั๋วกวง (Kuo Kuang Bus) สาย 1764 ไปลงที่สถานีอู่หลิง

              พิกัด : 武陵農場 https://maps.app.goo.gl/G93RZrggHbbBHUFb7


     

    ฟาร์มอู่หลิง นครไทจง มีต้นเหมยสีขาว สีชมพูและสีแดง รวม 3,000 ต้น (ภาพจาก travel.yam.com)

    ฟาร์มอู่หลิง นครไทจง มีต้นเหมยสีขาว สีชมพูและสีแดง รวม 3,000 ต้น (ภาพจาก travel.yam.com)

    ต้นเหมยโบราณที่ฟาร์มอู่หลิงได้รับสมญานามว่า ราชาเหมย  (ภาพจาก travel.yam.com)

              6. สวนสาธารณะดอกเหมย (梅山公園) เมืองเจียอี้ มีต้นเหมยที่ปลุกไว้ตั้งแต่ยุคญี่ปุ่นปกครองไต้หวัน ปัจจุบันมีต้นดอกเหมยประมาณ 3,000 ต้น นอกจากนี้ยังมีต้นท้อ ต้นหลี่ กุหลาบพันปีและโบตั๋น ซึ่งจะแข่งกันเบ่งบานในช่วงฤดูหนาว ที่นี่ได้ชื่อเป็นแหล่งชมดอกเหมยที่มีชื่อเสียงมากแห่งหนึ่ง

              วิธีเดินทางด้วยระบบขนส่งมวลชน :นั่งรถไฟไปลงที่สถานีรถไฟเจียอี้ ต่อรถเมล์สาย 7304、7315、7323

              พิกัด : 梅山公園 https://maps.app.goo.gl/TbS64jT3FKxHoaqD9

     

    สวนสาธารณะดอกเหมย เมืองเจียอี้ ( ภาพจาก udn.com)

              7. บ้านโบราณตระกูลไล่ (賴家古厝梅園)  ในหมู่บ้านเป่าไหล เขตลิ่วกุย นครเกาสง ในสมัยโบราณเป็นแหล่งปลูกหน่อไม้และผลิตหน่อไม้ดอง ต่อมาพบว่าสภาพภูมิอากาศที่นี่เหมาะแก่การปลูกต้นเหมย จึงมีการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์บ๊วย (產梅專業區) ที่เขตลิ่วกุย นครเกาสง มีการปลูกต้นเหมยไว้ 4,000 ต้น เพื่อนำลูกเหมยมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ อาทิแยมบ๊วย น้ำบ๊วยแบบเข้มข้น น้ำส้ม และบ๊วยดอง เป็นต้น ในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ซึ่งเป็นช่วงที่ดอกเหมยเบ่งบานจะเปิดให้เข้าชมฟรีตั้งแต่เวลา 10.00 -17.00 น. แต่น่าเสียดายที่การจะไปชมดอกเหมยที่นี่ต้องเดินทางโดยรถส่วนตัว ไม่มีระบบขนส่งมวลชนไปถึง

              พิกัด : 賴家古厝休閒露營區 https://maps.app.goo.gl/fGgWEukKEPKBwHVt6

              ดอกเหมยที่บ้านโบราณตระกูลไล่ หมู่บ้านเป่าไหล เขตลิ่วกุย นครเกาสง (ภาพจาก gomaji.com)

  • 1. มาตรการใหม่ปี 67! ค่าจ้างขั้นต่ำปรับขึ้น 4.05% เป็น 27,470 เหรียญ…ข้าราชการก็ปรับเงินเดือน 4%...ขยายเวลาเป็นทหารเกณฑ์จาก 4 เดือนเป็น 1 ปี

              สุดสัปดาห์นี้เป็นช่วงหยุดยาวเทศกาลปีใหม่สากล ในไต้หวันมีวันหยุด 3 วันคือระหว่างวันเสาร์ที่ 30 ธ.ค.-วันจันทร์ที่ 1 ม.ค. คาดว่าผู้คนจะเดินทางท่องเที่ยวกันอย่างคึกคัก แม้ว่าอากาศจะหนาวเย็นก็ตาม เพื่อนผู้ฟังที่มีโปรแกรมจะไปร่วมงานเคานต์ดาวน์และฉลองปีใหม่ต้องเตรียมเสื้อผ้ากันหนาวและเตรียมแผนการเดินทางให้ดีนะคะ จะได้ฉลองปีใหม่อย่างสนุกสนานและปลอดภัย

    หยุดยาวเทศกาลปีใหม่ เส้นทางที่เชื่อมสู่แหล่งท่องเที่ยวมีสภาพการจราจรแออัด (ภาพจาก EBC)

              ปีใหม่นี้ไต้หวันมีมาตรการใหม่ที่เริ่มมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมปี 2567 นี้เป็นต้นไปหลายมาตรการ ในวันนี้ขอนำเอามาตรการที่เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตในไต้หวันของเพื่อนผู้ฟังชาวไทยทั้งที่เป็นแรงงานไทยและชาวไทยที่มาตั้งรกรากหรือมาศึกษาต่อ ซึ่งประกอบด้วย

               การปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ซึ่งเรื่องนี้ท่านที่ติดตามรับฟังรายการหรือติดข่าวสารทางแฟนเพจอาร์ทีไอคงจะพอทราบกันบ้างแล้ว ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 เป็นต้นไปอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจะปรับขึ้นจาก 26,400 เหรียญ เป็น 27,470 เหรียญ และค่าจ้างรายชั่วโมง ปรับขึ้นจาก 176 เหรียญ เป็น 183 เหรียญ

    อัตราค่าจ้างขั้นต่ำรายเดือนปรับขึ้น 4.05% จาก 26,400 เหรียญ เป็น 27,470 เหรียญ และค่าจ้างรายชั่วโมง ปรับขึ้นจาก 176 เหรียญ เป็น 183 เหรียญ

               ขยายระยะเวลาการรับราชการทหารกองประจำการจาก 4 เดือน เป็น 1 ปี ทหารกองประจำการหรือเรียกกันทั่วไปว่าทหารเกณฑ์ โดยชายไต้หวันที่อายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ต้องเข้ารับราชการทหารทุกคน ยกเว้นผู้ที่ไม่ผ่านการตรวจร่างกาย ชายไต้หวันชุดแรกที่จะเข้ารับราชการทหารกองประจำการในปี 2567 คือผู้ที่เกิดในปี 2548 โดยชุดแรกจะเข้าประจำการในวันที่ 25 มกราคม 2567 เป็นต้นไป

    ขยายระยะเวลาเป็นทหารเกณฑ์จาก 4 เดือน เป็น 1 ปี ในภาพเป็นการฝึกซ้อมของกองกำลังกองทัพบก (ภาพจาก chinatimes.com)

               ปรับขึ้นเงินเดือนข้าราชการพลเรือน ทหาร ตำรวจและครู 4% นักวิจัยปรับ 5%

    1 ม.ค. 67 เป็นต้นไป ปรับขึ้นเงินเดือนเจ้าหน้าที่ราชการพลเรือน ทหาร ตำรวจและครู 4% นักวิจัยปรับ 5%

               ให้เงินอุดหนุนค่าเลี้ยงดูเด็กก่อนวัยเรียนที่ฝากให้สถานรับเลี้ยงเด็กของรัฐดูแล จากเดือนละ 5,500 เหรียญเป็น 7,000 เหรียญ กรณีที่เป็นสถานรับเลี้ยงเด็กของเอกชนเพิ่มจากเดือนละ 8,500 เหรียญ เป็น 13,000 เหรียญ

    1 ม.ค. 67 เป็นต้นไป ให้เงินอุดหนุนค่าเลี้ยงดูเด็กก่อนวัยเรียนที่ฝากให้สถานรับเลี้ยงเด็กของรัฐดูแล จากเดือนละ 5,500 เหรียญเป็น 7,000 เหรียญ กรณีที่เป็นสถานรับเลี้ยงเด็กของเอกชนเพิ่มจากเดือนละ 8,500 เหรียญ เป็น 13,000 เหรียญ

               ให้เงินอุดหนุนผู้ซื้อเตาแก๊สหรือเครื่องทำน้ำร้อน ที่มีฉลากประหยัดไฟ สูงสุดเครื่องละ 3,000 เหรียญ ช่วงระหว่างวันที่ 1 มกราคม - 30 เมษายน 2567

    ช่วงระหว่างวันที่ 1 มกราคม - 30 เมษายน 2567 ซื้อเตาแก๊สหรือเครื่องทำน้ำร้อน ที่มีฉลากประหยัดไฟ จะได้รับการอุดหนุนเครื่องละ 2,000-3,000 เหรียญ

    2. คืนส่งท้ายปีเก่า ภาคเหนือหนาวแตะ 12°c…แสงแรกรับปีใหม่ ปรากฏที่เกาะหลันอวี่ เมืองไถตง เวลา 06.32 น. ตามด้วย ต. เหิงชุน เมืองผิงตง เวลา 06.35 น.

              ปี 2567 กำลังจะมาเยือน ท่านทราบไหม? แสงตะวันแสงแรกแห่งปี 2567 จะปรากฏที่ใดในไต้หวัน กรมอุตุนิยมวิทยาไต้หวัน พยากรณ์ว่า แสงแรกแห่งปี 2567 ที่สาดส่องมายังดินแดนไต้หวันเป็นจุดแรกได้แก่ที่เกาะหลันอวี่ (蘭嶼) ห่างจากเมืองไถตงไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 90 กม. ในเวลา 6 นาฬิกา 32 นาที 32 วินาทีของเช้าวันจันทร์ที่ 1 มกราคม 2567 ส่วนบนเกาะไต้หวัน แสงแรกแห่งปีจะปรากฏที่เขตอนุรักษ์ธรรมชาติหลงเคิง ต. เหิงชุน เมืองผิงตง เวลา 6 นาฬิกา 35 นาที 2 วินาที

    แสงแรกแห่งปี 2567 ที่สาดส่องมายังดินแดนไต้หวันเป็นจุดแรกได้แก่ที่เกาะหลันอวี่ (蘭嶼) ในภาพเป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นชื่อดัง ซานเซียนไถ (Sanxiantai) เมืองไถตง เช้าปีใหม่ทุกปี จะมีนักท่องเที่ยวไปชมแสงรุ่งอรุณประมาณ 5,000-6,000 คน (ภาพจาก news.owlting.com)

    ยอดเขาอาลีซัน (Alishan) เป็นอีกหนึ่งจุดที่มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากนิยมขึ้นเขาไปชมแสงอาทิตย์แรกของวัน

    ชายหาดท่าเรือซูอ้าวที่อี๋หลาน เป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นยอดนิยมทางภาคเหนือ (ภาพจากสำนักงานบริหารเขตทัศนียภาพชายฝั่งตะวันออก)

              สำหรับสภาพอากาศในวันส่งท้ายปีเก่าและวันต้อนรับปีใหม่ เนื่องจากได้รับอิทธิพลจากลมหนาวกำลังแรงลูกใหม่ ทำให้อุณหภูมิทั่วไต้หวันลดลง โดยเฉพาะคืนส่งท้ายปีเก่าและเช้าวันปีใหม่ พื้นที่ราบโล่งและชายหาดทางภาคเหนืออาจแตะ 12°c ในวันส่งท้ายปีเก่า คือ 31 ธันวาคม ทั่วไต้หวันครึ้มฟ้าครึ้มฝนและมีฝนตกโดยทั่วไป สภาพอากาศเป็นแบบหนาวแฉะ แต่ช่วงค่ำเป็นต้นไป ฝนเบาบางลง อากาดีขึ้น ในวันขึ้นปีใหม่ทั่วไต้หวันมีแสงแดดอบอุ่นในช่วงกลางวัน สามารถมองเห็นแสงอาทิตย์ขึ้นและตกดินได้อย่างชัดเจน อุณหภูมิตั้งแต่ภาคกลางถึงภาคเหนืออยู่ที่ 14-16°c พื้นที่อื่น ๆ อยู่ที่ 17-18°c จัดเป็นอากาศดีที่ไม่หนาวจัด เหมาะสมไปเดินชมหรือท่องเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ

    อิทธิพลจากลมหนาวกำลังแรงลูกใหม่ ทำให้อุณหภูมิทั่วไต้หวันลดลง โดยเฉพาะคืนส่งท้ายปีเก่าและเช้าวันปีใหม่ พื้นที่ราบโล่งและชายหาดทางภาคเหนือแตะ 12°c

    3. ชาวไต้หวันโหวตให้ 缺 (เชวีย แปลว่าไม่มี) เป็นอักษรจีนแห่งปี เนื่องจาก 2566 เป็นปีแห่งการขาดแคลน ทั้งไข่ไก่ สินค้าขึ้นราคาและไม่มั่นใจในความปลอดภัย

              ปี 2566 ที่กำลังจะสิ้นสุดลง มีเหตุการณ์หลายเรื่องทำให้ชาวไต้หวันต้องจดจำและสะท้อนออกมาในกิจกรรมโหวตเลือกตัวอักษรประจำปี โดยในปี 2566 ชาวไต้หวันพร้อมใจกันโหวตให้ตัวอักษรจีน 缺 (อ่านว่าเชวีย) ที่แปลว่าขาดหรือไม่มีเป็นอักษรจีนแห่งปี สาเหตุมาจากในปีนี้ ชาวไต้หวันต้องประสบภาวะขาดแคลนในหลายอย่าง เช่น ไข่ไก่ขาดตลาด ผู้ประกอบการขาดแคลนแรงงาน ไฟฟ้าไม่พอใช้กลัวไฟดับ และเกิดอุบัติเหตุในที่ทำงานบ่อยครั้ง ส่งผลให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นในความปลอดภัย

    ชาวไต้หวันพร้อมใจกันโหวตให้ตัวอักษรจีน 缺 (อ่านว่าเชวีย) ที่แปลว่าขาดหรือไม่มีเป็นอักษรจีนแห่งปี 2566

              ไต้หวันมีการคัดเลือกอักษรจีนแห่งปีมาเป็นเวลา 16 ปีแล้ว โดยเริ่มตั้งแต่ปี 2551 สำหรับปีนี้ จัดโดยมูลนิธิการศึกษาและวัฒนธรรมไชน่าทรัสต์และเหลียนเหอเป้าหรือ UDN สื่อสิ่งพิมพ์ยักษ์ใหญ่ของไต้หวัน เชิญชวนบุคคลสำคัญและนักวิชาการสาขาอาชีพต่าง ๆ ส่งตัวอักษรที่สอดคล้องกับสภาพการณ์และสะท้อนความรู้สึกของชาวไต้หวันในปีที่ผ่านมาเข้าร่วม จากนั้นเปิดให้ประชาชนลงคะแนนโหวต โดยในปี 2566 มีการเสนอตัวอักษรร่วมกิจกรรม 58 ตัว ผลการโหวตปรากฏว่า อักษรจีน 缺 (อ่านว่าเชวีย) ที่แปลว่าขาดหรือไม่มีได้รับคะแนนโหวต 8,565 เสียง อันดับ 2 คือตัวอักษรจีน 蛋 (อ่านว่าตั้น แปลว่า ไข่) ได้รับคะแนนโหวต 6,433 เสียง และอันดับ 3 คือ 詐 (อ่านว่าจ้า แปลว่า หลอก ต้มตุ๋นหรือมิจฉาชีพ) ได้รับคะแนนโหวต 4,662 เสียง

    缺 (เชวีย แปลว่าขาดหรือไม่มี) เป็นอักษรจีนแห่งปี เป็นการสะท้อนความรู้สึกของชาวไต้หวันในปี 2566

              นายจางซ่านเจิ้ง ผู้ว่าการนครเถาหยวน ซึ่งเป็นผู้เสนออักษรจีน 缺 และได้รับการโหวตให้เป็นอักษรจีนแห่งปี 2566 ให้เหตุผลว่า ในปี 2566 ชาวไต้หวันต้องเผชิญกับราคาสินค้า ราคาบ้านที่พุ่งสูง ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ รายได้ไม่พอกับรายจ่าย และหน่วยงานรัฐที่ดูแลด้านการเกษตรปล่อยให้ไข่ไก่ขาดตลาดในระยะยาว ทำให้อาหารพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับประชาชนไม่เพียงแต่แพง ยังหาซื้อได้ยาก นอกจากนี้ บรรดาผู้ประกอบการทั้งหลายเกรงว่าไฟฟ้าไม่พอใช้ ไฟดับบ่อย ส่งผลต่อความเชื่อมั่นในการลงทุน ตามด้วยอุบัติเหตุจากการทำงานเกิดขึ้นบ่อยมาก ทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นใจในความปลอดภัย

    2566 เป็นปีที่ไข่ไก่ขาดตลาดระยะยาว ทำให้อาหารพื้นฐานที่จำเป็นไม่เพียงแต่แพง ยังหาซื้อยาก สร้างความเดือดร้อนให้ชาวไต้หวันเป็นอย่างมาก (ภาพจาก udn.com)

              กิจกรรมโหวตตัวอักษรแห่งปี จัดทำกันในหลายประเทศในภูมิภาคเอเชีย แต่ประเพณีนี้เริ่มแรกมาจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่ปี 2543 โดยมีการเลือกตัวอักษรจีน ซึ่งในภาษาญี่ปุ่นเรียกอักษรคันจิแห่งปี สำหรับปี 2566 ญี่ปุ่นประกาศตัวอักษรคันจิประจำปี คือคำว่า “税” (ภาษาญี่ปุ่นออกเสียง เซย์) หมายถึงภาษี สาเหตุที่ชาวญี่ปุ่นโหวตอักษรคันจิตัวนี้ เป็นการสะท้อนความรู้สึกไม่พอใจที่สินค้าขึ้นราคา เงินเฟ้อและต้องจ่ายภาษีเพิ่มขึ้น อักษรตัวนี้ เคยได้รับการประกาศให้เป็นคันจิประจำปี 2014 มาแล้ว โดยในปีนั้น ภาษีมูลค่าเพิ่มได้เพิ่มขึ้นจาก 5% เป็น 8%

    ญี่ปุ่นเป็นประเทศแรกที่มีประเพณีเลือกตัวอักษรจีนในช่วงปลายปี เรียกอักษรคันจิแห่งปี สำหรับปี 2566 ญี่ปุ่นประกาศตัวอักษรคันจิประจำปี คือคำว่า “税” (ภาษาญี่ปุ่นออกเสียง เซย์) หมายถึงภาษี สะท้อนความไม่พอใจของชาวญี่ปุ่นที่ต้องจ่ายภาษีเพิ่มขึ้น (ภาพจาก NHK-Wikipedia)

              ตามธรรมเนียมช่วงท้ายปีของประเทศญี่ปุ่น อักษรคันจิแห่งปี จะถูกประกาศโดยเจ้าอาวาสวัดคิโยมิซุเดระ หรือวัดน้ำใส ผ่านการเขียนอักษรคันจิด้วยพู่กันลงบนกระดาษแผ่นใหญ่ สำหรับในไต้หวัน เพียงแค่ประกาศตัวอักษรจีนเฉย ๆ ไม่มีการทำพิธีใด ๆ

  • 1. เสาร์นี้อากาศอุ่นขึ้น แต่วันอาทิตย์มีลมหนาวมาเยือนอีก อุณหภูมิลดฮวบถึงวันคริสต์มาส อังคารหน้าเป็นต้นไปอากาศดีจนถึงปีใหม่

              สัปดาห์ที่ผ่านมา ทั่วไต้หวันอากาศหนาวจัด โดยเฉพาะคืนวันพุธถึงวันศุกร์ ซินจู๋และเถาหยวน อุณหภูมิต่ำสุด 6-7°c แต่วันเสาร์นี้ลมหนาวอ่อนกำลังลง แม้กลางคืนและช่วงเช้ายังคงหนาว แต่ไม่หนาวอย่าง 2-3 วันที่ผ่านมา และกลางวันอากาศอบอุ่นขึ้น ภาคเหนือ อุณหภูมิ 11-16°c ภาคกลาง 10-18°c ภาคใต้ 12-19°c ภาคตะวันออก 10-19°c แม้บนยอดเขาสูงกว่า 3,000 เมตรขึ้นไป อุณหภูมิจะต่ำกว่า 0°c มีโอกาสเห็นหิมะตก แต่ไท่ผิงซาน ขุนเขาในเมืองอี๋หลานที่มีความสูง 2,000 เมตร วันนี้อุณหภูมิสูงกว่า 0°c ทำให้หิมะหายไป

    ลมหนาวลูกใหม่มาอีกแล้วในวันอาทิตย์นี้ หนาวถึงวันคริสต์มาส จากนั้นอากาศจะดีไปถึงสิ้นปี (ภาพจาก chinatimes.com)

              อย่างไรก็ตาม ในวันอาทิตย์นี้ (24 ธ.ค.) จะมีลมหนาวกำลังแรงลูกใหม่พร้อมความชื้นสูงมาเยือน ทำให้อุณหภูมิลดลงอย่างรวดเร็วและมีฝนตก โดยเฉพาะภาคเหนือตั้งแต่เถาหยวนขึ้นไป ไทเป จีหลงและอี๋หลาน อากาศจะหนาวแฉะ ส่วนซินจู๋ลงไปถึงภาคใต้ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ช่วงที่หนาวสุดของคลื่นลมหนาวลูกใหม่ จะอยู่ในวันจันทร์ที่ 25 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันคริสต์มาส แต่ยังดีที่ความชื้นลดลง เป็นอากาศแบบหนาวแห้ง อุณหภูมิพื้นที่ราบ 10-13°c ตามชายทะเลและพื้นที่ราบโล่งอาจมีเพียง 10°c

              กรมอุตุนิยมวิทยาพยากรณ์อากาศว่า ในวันอังคารที่ 26 ธันวาคมเป็นต้นไป ลมหนาวอ่อนกำลังลง ทั่วไต้หวันอากาศอบอุ่นจนถึงวันส่งท้ายปีเก่า 

    ลมหนาวลูกใหม่มาอีกแล้วในวันอาทิตย์นี้ หนาวถึงวันคริสต์มาส จากนั้นอากาศจะดีไปถึงสิ้นปี (ภาพจาก chinatimes.com)

    2. อุณหภูมิลดฮวบ 2 วัน ชาวไต้หวันหนาวตายอย่างน้อย 59 ราย จากอากาศหนาวจัดทำยอดผู้ป่วยหัวใจหยุดเต้นนอก รพ. ร่วม 80 ราย

              ไต้หวันเผชิญคลื่นลมหนาวกำลังรุนแรงลูกแรกในฤดูหนาวปีนี้ ทำให้อุณหภูมิลดลงอย่างรวดเร็ว พื้นที่ส่วนใหญ่ต่ำกว่า 10°c จากการรายงานของหน่วยกู้ภัยท้องที่ต่าง ๆ ระหว่างวันที่ 20-21 ธ.ค. พบว่า ช่วงระยะเวลาสั้น ๆ 2 วัน ทั่วไต้หวันอากาศหนาวจัดทำให้มีผู้ป่วยภาวะหัวใจหยุดเต้นนอกโรงพยาบาล (OHCA) อย่างน้อย 77 ราย หลังส่งรักษาฉุกเฉิน แพทย์ช่วยกู้ชีวิตกลับคืนมาได้ไม่ถึง 20 ราย เสียชีวิตอย่างน้อย 59 ราย ในจำนวนนี้ กรุงไทเป มีผู้ป่วย OHCA ส่งรักษา 10 ราย นครนิวไทเป 16 ราย อี๋หลาน 6 ราย เมืองหยุนหลิน เจียอี้และไถหนาน 35 ราย เกาสง 10 ราย

    อากาศหนาวจัด ช่วง 2 วัน ระหว่าง 20-21 ธ.ค. ทั่วไต้หวันมีผู้ป่วยภาวะหัวใจหยุดเต้นนอกโรงพยาบาล (OHCA) ถูกนำส่งรักษาที่โรงพยาบาลอย่างน้อย 77 ราย เสียชีวิต 59 ราย

              ในจำนวนมีผู้ป่วยรายหนึ่งจากเมืองเจียอี้ อายุเพียง 28 ปี เป็นทหารอาชีพ ล้มลงหมดสติขณะออกจากบ้านในช่วงเช้า หลังส่งรักษาฉุกเฉิน แพทย์ไม่สามารถกู้ชีพได้ จากการวินิจฉัยของแพทย์กล่าวว่า เสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดหัวใจที่เกิดจากอากาศหนาวจัด

    อากาศหนาวจัด ช่วง 2 วัน ระหว่าง 20-21 ธ.ค. ทั่วไต้หวันมีผู้ป่วยภาวะหัวใจหยุดเต้นนอกโรงพยาบาล (OHCA) ถูกนำส่งรักษาที่โรงพยาบาลอย่างน้อย 77 ราย เสียชีวิต 59 ราย (ภาพจาก LTN)

    3. สุดเสียดาย! โขดหินงวงช้าง สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของไต้หวันงวงหักพังถล่มลงในทะเล เมื่อ 16 ธ.ค. ที่ผ่านมา

                โขดหินงวงช้าง ประติมากรรมธรรมชาติสุดอัศจรรย์และเป็นจุดเช็คอินยอดนิยมของไต้หวัน ซึ่งตั้งอยู่ที่ท่าเรือเซินอ้าว เขตรุ่ยฟาง นครนิวไทเป ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะ พังถล่มลงสู่ทะเลแล้ว เมื่อเวลา 13.55 น. 16 ธ.ค. ที่ผ่านมา สาเหตุมาจากการผุพังตามธรรมชาติและโดนกระแสลม คลื่นทะเลรุนแรงซัดทำให้โขดหินยักษ์ที่ถูกธรรมชาติสรรค์สร้างจนมีรูปร่างลักษณะคล้ายหัวช้างขนาดใหญ่ที่กำลังจุ่มงวงดูดน้ำในทะเล ผู้คนจึงขนานนามว่า“หินช้าง” ก้อนนี้ พังครืนลงสู่ทะเล ทำให้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะไต้หวันสูญเสียสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมไปแห่งหนึ่งอย่างน่าเสียดาย

    โขดหินงวงช้าง ประติมากรรมธรรมชาติสุดอัศจรรย์และเป็นจุดเช็คอินยอดนิยมของไต้หวัน ซึ่งตั้งอยู่ที่ท่าเรือเซินอ้าว เขตรุ่ยฟาง นครนิวไทเป (ภาพจากสำนักงานบริหารจุดชมวิวชายฝั่งทะเลตะวันออกเฉียงเหนือและอีหลาน : NEYC)

              เมื่อปี 2563 ศ. สวี่ฮ้าวเต๋อ ผู้เชี่ยวชาญธรณีวิทยาจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน โดยการเชิญของกรมส่งเสริมการท่องเที่ยวเพิ่งจะทำการสำรวจและทำคลิปแนะนำโพสต์ในยูทูปว่า โขดหินงวงช้าง เป็นหินที่มีลักษณะพิเศษทางธรณีวิทยาที่มีอายุมานานกว่า 15 ล้านปี ถูกลมและคลื่นทะเลกัดเซาะจนกลายเป็นลักษณะคล้ายงวงช้างในปัจจุบัน ผู้เชี่ยวชาญท่านนี้คาดว่า โขดหินงวงช้าง ยังจะคงอยู่ต่อไปนับพันปี จึงจะจมลงทะเล แต่ไม่นึกว่า โขดหินส่วนที่เป็นงวงช้างเพียงแค่ 4 ปี ก็กลายเป็นประวัติศาสตร์ไปแล้ว

    ภาพแสดงหินงวงช้างก่อนและหลังถล่มจากลมและคลื่นทะเลซัด (ภาพเดิมจากสำนักงานบริหารจุดชมวิวชายฝั่งทะเลตะวันออกเฉียงเหนือและอีหลาน : NEYC)

              ผู้อำนวยการเขตรุ่ยฟาง ได้ปิดกั้นบริเวณโดยรอบหินงวงช้างและเรียกร้องให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวอย่าเข้าใกล้บริเวณที่เกิดเหตุ เพื่อความปลอดภัย และกล่าวเรียกร้องว่า แม้จะไม่มีหินงวงช้าง แต่เขตรุ่งฟาง ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวและเช็คอินน่าสนใจไม่แพ้กันอีกหลายจุด อย่างขุนเขาหินรูปหัวหน้าเผ่า ใกล้ท่าเรือเซินอ้าว และหินประหลาดที่ถูกลมฝนพัดและกัดเซาะจนเกิดเป็นรูพรุนคล้ายรวงผึ้งอีกหลายที่ รวมทั้งอาหารทะเลที่อร่อยและราคาไม่แพง

    หินประหลาดที่ถูกลมฝนพัดและกัดเซาะจนเกิดเป็นรูพรุนคล้ายรวงผึ้ง ใกล้หินงวงช้าง

    ขุนเขาหินรูปหัวหน้าเผ่า ใกล้ท่าเรือเซินอ้าว (ภาพจาก album.udn.com/shine016)

    โขดหินเหล่าเหมย (老梅石槽) หรือชายฝั่งสีเขียวที่เหล่าเหมยในเขตสือเหมินของนิวไทเป เป็นความมหัศจรรย์แห่งธรรมชาติที่สาหร่ายทะเลเกาะโขดหินลักษณะเป็นร่องรอบชายหาดจนกลายเป็นสีเขียวสวยดุจดังพรมแห่งธรรมชาติอันงดงาม

    4. ผู้เชี่ยวชาญชี้ หินเศียรราชินี สถานที่เช็คอินสุดฮอตในอุทยานธรณีเย๋หลิ่ว ส่วนคอเล็กลง 0.2-5 ซม./ปี อาจหักเป็นจุดถัดไป

              หลังจากหินงวงช้างพังถล่มหายไปแล้ว สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญอีกจุดหนึ่งที่เป็นหินชื่อดังก้องโลกก็ถูกจับตามองและเกรงว่า อาจจะเป็นจุดถัดไปที่จะเผชิญกับชะตากรรมคอขาดพังถล่มลง จากการผุพังทางธรรมชาติและลมฝนพัดและกัดเซาะ นั่นคือ หินรูปเศียรราชินี ตั้งอยู่ในอุทยานธรณีเย๋หลิ่ว เขตว่านหลี่ นครนิวไทเปเช่นกัน ห่างจากหินงวงช้างนั่งรถประมาณ 30 นาที เนื่องจากส่วนที่เป็นคอบอบบางลงทุกที แม้จะมีการเสริมความแข็งแกร่งมาหลายครั้งแล้ว แต่ก็คงสู้พลังทางธรรมชาติไม่ได้

    ภาพเปรียบเทียบเส้นรอบวงบริเวณคอของหินเศียรราชินีที่เล็กลงประมาณ 0.2-5 ซม. ต่อปี (ภาพจาก udn.com)

              พูดถึงหินเศียรราชินี นักท่องเที่ยวไทยต่างก็รู้จักเป็นอย่างดี เพราะเป็นจุดท่องเที่ยวที่ถูกจัดอยู่ในโปรแกรมการท่องเที่ยวทางภาคเหนือของเกาะไต้หวัน ภายในอุทยานเย๋หลิ่วแบ่งเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ตั้งของหินรูปทรงแปลกตา ไม่ว่าจะเป็นหินเศียรราชินี หินรองเท้านางฟ้า ฯลฯ ส่วนที่ 2 มีหินถั่ว หินหัวมังกร และส่วนที่ 3 มีถ้ำที่เกิดจากการกัดเซาะของน้ำทะเลและหินรูปทรงต่าง ๆ นอกจากได้ชมความมหัศจรรย์การสร้างสรรค์ทางธรรมชาติแล้ว อุทยานธรณีแห่งนี้ยังเป็นที่เรียนรู้ทางธรณีวิทยาด้วย

    หินเศียรราชินี สถานที่เช็คอินสุดฮอตในอุทยานธรณีเย๋หลิ่ว ส่วนคอเล็กลง 0.2-5 ซม./ปี อาจหักเป็นจุดถัดไป

              อย่างไรก็ตาม หินเศียรราชินี ในอุทยานธรณีเย๋หลิ่ว (Yehliu Geopark) เส้นรอบวงบริเวณคอจะมีขนาดเล็กและบางลงต่อเนื่อง ช่วงล่างของศีรษะยังปรากฏรอยแตกร้าว จนหลายคนเกิดความกังวลว่าไม่กี่ปีจากนี้ไป จะไม่มีหินเศียรราชินีให้เราเห็นอีกแล้ว กรมส่งเสริมการท่องเที่ยว กระทรวงคมนาคมไต้หวันกล่าวว่า ทุก ๆ ครึ่งปีจะมีการใช้โปรแกรมสามมิติสแกนและตรวจสอบขนาดรอบคอของหินเศียรราชินี ปัจจุบันหินเศียรราชินีมีน้ำหนักประมาณ 1,300 กิโลกรัม มีเส้นรอบวง 125 เซนติเมตร ลดลงปีละ 0.2-5 ซม. เป็นหินปูนที่มีทั้งส่วนที่แข็งกับอ่อนผสมกัน เมื่อได้รับอิทธิจากลมและฝน จะเกิดการกัดเซาะและผุกร่อนจากบริเวณที่เปราะบางก่อน แม้มีการเชิญผู้เชี่ยวชาญมาหาทางเสริมความแข็งแกร่งโดยไม่ทำลายโครงสร้างเดิม แต่ผลไม่เป็นที่น่าพอใจ คงทานกระแสลมและฝนไม่ไหว จึงถูกมองว่า อาจเป็นจุดถัดไปที่อันตราย

    หินเศียรราชินีโชว์แสงสีในยามกลางคืนในงาน Yehliu Night Tours ช่วงเดือนกรกฎาคม 2566 (ภาพจาก udn.com)

    5. เคยไปหรือยัง? พาไปเที่ยวศูนย์ศิลปะป๋อเอ้อ (The Pier 2 Arts Center) จุดเช็คอินทางวัฒนธรรมยอดฮิตของเกาสง

              สัปดาห์นี้ขอแนะนำ นครเกาสง เมืองท่าสำคัญที่ตั้งอยู่ทางภาคใต้ของไต้หวัน และได้ชื่อว่ามีความสวยงามและน่าเที่ยวมาก ยิ่งตั้งแต่ปีหน้านี้เป็นต้นไป รถไฟฟ้าและรถไฟฟ้ารางเบาภายในเขตตัวเมืองที่ถือเป็นระบบขนส่งสาธารณะที่อำนวยความสะดวกให้แก่นักท่องเที่ยวหรือนักเดินทางจากต่างถิ่นมีการเชื่อมต่อกันเป็นวงแหวนและเตรียมทดลองเปิดบริการตลอดสายระยะทาง 22.1 กม. ตั้งแต่ปีใหม่ 2567 ที่จะถึงนี้เป็นต้นไป ค่าโดยสารเริ่มต้นที่ 20 เหรียญไต้หวัน เพิ่ม 5 เหรียญทุก 2 กม. ตลอดสาย 35 เหรียญ

    แผนผังรถไฟฟ้าและรถไฟฟ้ารางเบาของนครเกาสง (ภาพจาก KMRT)

              เกาสง 1 ใน 6 นครใหญ่ของไต้หวัน เนื่องจากเป็นเมืองท่าที่ใหญ่ที่สุดของไต้หวัน จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า กั่งตู (港都) หรือแปลว่า เมืองแห่งท่าเรือ มีพื้นที่กว้างอันดับ 4 ของไต้หวัน ตามหลังฮัวเหลียน หนานโถว และไถตง แต่ 3 เมืองแรกเหล่านี้ พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขา ถ้าจะพูดเฉพาะ 6 นคร เกาสงถือได้ว่ามีพื้นที่กว้างใหญ่สุดคือ 2,952 ตร. กม. ตัวเลขนี้ บางคนอาจมองไม่ออกว่ามันใหญ่ขนาดไหน ถ้าเทียบกันแล้ว เกาสงมีพื้นที่ใหญ่กว่าฮ่องกง 2 เท่า ใหญ่กว่าสิงคโปร์ 4 เท่า และใหญ่กว่ากรุงไทเป 11 เท่า มีประชากรที่มีทะเบียนบ้านอยู่ในเกาสง 2.73 ล้านคน เป็นเมืองที่มีประชากรมากเป็นอันดับ 3 ของไต้หวัน ตามหลังนครนิวไทเปที่กำลังจะทะลุหลัก 4 ล้านคน และนครไทจง 2.8 ล้านคนที่เพิ่งจะแซงหน้าเกาสงกลายเป็นอันดับ 2 ไปเมื่อปี 2 ปีที่ผ่านมา

    เกาสงเป็นเมืองเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมหนัก เช่น ถลุงเหล็ก กลั่นน้ำมัน ต่อเรือ ในภาพเป็นโรงกลั่นน้ำมันขนาดใหญ่ของ CPC ในนครเกาสง (ภาพจาก chinatimes.com)

              นครเกาสงเป็นเมืองเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมหนัก เช่น ถลุงเหล็ก กลั่นน้ำมัน ต่อเรือ ฯลฯ  และเป็นเมืองท่าที่ใหญ่ที่สุดของไต้หวัน ช่วงปี 2543 ท่าเรือเกาสงมีปริมาณขนถ่ายสินค้ามากเป็นอันดับ 3 ของโลก แต่ปัจจุบันร่วงตกลงมาอยู่อันดับ 15 ของโลก กระนั้นก็ตาม ยังเป็นเมืองท่าและเมืองเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดของไต้หวัน และถูก Lonely Planet นิตยสารท่องเที่ยวระดับโลก จัดให้เป็นอันดับ 5 ของ 10 เมืองใหญ่ที่น่าเที่ยวสุดของโลกประจำปี 2561

    ท่าเรือเกาสงเคยมีปริมาณขนถ่ายสินค้าติดอันดับ 3 ของโลก ปัจจุบันร่วงลงไปอยู่อันดับที่ 15 (ภาพจาก LTN)

              นอกจากมีถนนหนทางที่กว้างขวางดูเป็นระเบียบ มีแม่น้ำอ้ายเหอ (愛河) หรือแม่น้ำแห่งความรักไหลผ่านตัวเมืองแล้ว ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจจำนวนไม่น้อย เพื่อนผู้ฟังที่เคยอยู่หรือไปท่องเที่ยวเกาสงมาแล้ว ช่วยบอกมาด้วยว่า เคยไปเที่ยวเกาสงที่ใด? และมีความรู้สึกหรือความประทับใจอย่างไรบ้าง?

              สำหรับอัญชันไปเที่ยวเกาสงมาหลายรอบ และทุกครั้งก็ไม่พลาดที่จะไปที่ “ศูนย์ศิลปะป๋อเอ้ออี้ซู่เท่อชวี (Pier 2 Arts Center : 駁二藝術特區) ตั้งอยู่ในท่าเทียบเรือหมายเลข 2 แหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมยอดนิยมของเกาสง เพราะสถานที่สวยงาม มีจุดให้ถ่ายรูปเช็กอินมากมาย แถมยังมีร้านอาหาร ร้านกาแฟให้ได้ไปนั่งชิล ๆ กันได้ทั้งวันเลยทีเดียว

    ศูนย์ศิลปะท่าเทียบเรือหมายเลข 2 หรือ ป๋อเอ้ออี้ซู่เท่อชวี (Pier 2 Arts Center)

    รถไฟฟ้ารางเบาวิ่งผ่านศูนย์ศิลปะ Pier 2 Arts Center (ภาพจาก youtube.com)

              ศูนย์ศิลปะ Pier 2 Arts Center ถูกสร้างขึ้นในปี 2516 เดิมเป็นโกดังสินค้าของท่าเรือเกาสง ใช้เป็นสถานที่จัดเก็บสินค้าและส่งสินค้าไปยังท่าเรือต่าง ๆ แต่ต่อมาปริมาณขนถ่ายสินค้าลดลงอย่างฮวบฮาบ จึงทำให้โกดังถูกปล่อยทิ้งร้างไว้ จนเมื่อปี 2543 เทศบาลเกาสงได้ฟื้นฟูสถานที่แห่งนี้เพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับจุดพลุดอกไม้ไฟวันชาติ ทำให้โกดังเก่าเหล่านี้ได้รับถูกปรับปรุงจนกลายเป็นศูนย์ศิลปะและจุดเช็คอินที่สำคัญของเกาสงในปัจจุบัน  นอกจากได้ชื่อว่าเป็นสวรรค์แห่งการสร้างสรรค์สำหรับศิลปินที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสามารถในการออกแบบและความคิดสร้างสรรค์ ยังมีการสร้างรถไฟฟ้ารางเบาแทนที่รางรถไฟสายเก่าที่วิ่งเลียบแม่น้ำ ซึ่งได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก

    บรรยากาศภายในศูนย์ศิลปะ Pier 2 Arts Center (ภาพจากกองการท่องเที่ยวนครเกาสง)

    ผลงานศิลปะภายในศูนย์ศิลปะ Pier 2 Arts Center สร้างขึ้นจากเก้าอี้นักเรียนประถม ฯ ที่ไม่ใช้แล้ว (ภาพจากกองการท่องเที่ยวนครเกาสง)

              ปัจจุบันมีพื้นที่โกดังสินค้าทั้งหมด 25 แห่ง ซึ่งถูกดัดแปลงเป็นร้านอาหาร ร้านกาแฟร้านขายของที่ระลึก มากมาย ช่วงวันหยุดยังมักมีการจัดกิจกรรมต่าง ๆ อาทิ เทศกาล Kaohsiung Design Festival, Heroes Play Bytes, เทศกาลศิลปะประติมากรรมเหล็ก (Steel & Iron Sculpture Festival), เทศกาลศิลปะคอนเทนเนอร์ (Container Arts Festival) และอีกมากมาย ถือเป็นแหล่งรวบรวมความคิดสร้างสรรค์ทางศิลปะจากทั่วทุกมุมโลกอีกด้วย

    บรรยากาศภายในศูนย์ศิลปะ Pier 2 Arts Center (ภาพจากกองการท่องเที่ยวนครเกาสง)

              วิธีเดินทาง แนะนำว่านั่งรถไฟฟ้ารางเบาจะสะดวกที่สุด ลงที่สถานีป๋อเอ้อเผิงหลายจั้น 駁二蓬萊站(C13 ) หรือสถานีป๋อเอ้อต้าอี้จั้น 駁二大義站(C12)ก็ได้ค่ะ

              Google Maps : https://maps.app.goo.gl/K3ktYzqhirL58trr5

  • 1. เตือนดูแลสุขภาพ ไต้หวันอากาศสุดแปรปรวน ร้อนสลับหนาว เสาร์นี้และอังคารหน้ามีลมหนาวกำลังแรงมาเยือน ภาคเหนืออุณหภูมิต่ำสุด 8°c

              หน้าหนาวปีนี้ อากาศในไต้หวันแปรปรวนหนัก ปรากฏสภาพการณ์ 1 วันร้อน 1 วันหนาว อย่างสัปดาห์ไม่มีลมหนาว อากาศช่วงกลางวันร้อน อุณหภูมิสูงกว่า 30°c แต่พอวันเสาร์นี้ (16 ธ.ค.) ลมหนาวพัดมา อุณหภูมิลดลงอย่างฮวบฮาบ สภาพอากาศเช่นนี้ ทำให้ไม่สบายได้ง่าย ยิ่งช่วงนี้ สารพัดโรคระบบทางเดินหายใจระบาดหนัก โรคโควิดก็ยังรุนแรง จึงต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง

    อากาศในไต้หวันแปรปรวนหนัก ขณะไม่มีลมหนาว อากาศช่วงกลางวันร้อน แต่พอลมหนาวพัดมา อุณหภูมิลดลงอย่างฮวบฮาบ (ภาพจาก udn.com)

               รอง ศจ. อู๋เต๋อหรง (吳德榮) แห่งคณะวิทยาศาสตร์บรรยากาศ มหาวิทยาลัยแห่งชาติจงยัง (NCU) อดีตผู้อำนวยการกองพยากรณ์อากาศ กรมอุตุนิยมวิทยากล่าวว่า สัปดาห์ที่ผ่านมาอากาศในช่วงกลางวันค่อนข้างร้อน อุณหภูมิสูงสุด 26-31°c  แต่คืนวันศุกร์เป็นต้นมา มวลอากาศเย็นจากจีนแผ่นดินใหญ่พัดมาปกคลุมเกาะไต้หวัน ทำให้อุณหภูมิลดลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะวันเสาร์ อากาศยิ่งดึกยิ่งหนาวแฉะ อุณหภูมิทั่วไต้หวันในวันเสาร์-อาทิตย์นี้ สูงสุด 19-21°c ต่ำสุด 10-13°c ภาคเหนือตลอดวันอยู่ที่ 12-14°c พื้นที่ภาคอื่น ๆ ก็ลดลงเหลือ 14-17°c สภาพอากาศหนาวแฉะเช่นนี้ จะดำเนินไปจนถึงวันจันทร์หน้า

    สัปดาห์นี้มีลมหนาวกำลังแรงพัดลงมาปกคลุมเกาะไต้หวันติดกัน 2 ลูก พื้นที่ราบโล่งในภาคเหนือ อุณหภูมิต่ำกว่า 8°c (ภาพจาก udn.com)

              วันอังคารหน้า (19 ธ.ค.) ลมหนาวลูกใหม่ที่มีกำลังแรงกว่าจะพัดลงมาถึงไต้หวันอีก 1 ลูก แต่เป็นอากาศแบบหนาวแห้ง และวันที่หนาวสุดคือวันพุธและเช้าวันพฤหัสบดี อุณหภูมิในช่วงเช้าจะลดลงต่ำกว่า 10°c พื้นที่ราบโล่งในภาคเหนืออาจต่ำกว่า 8°c ส่วนพื้นที่ภาคอื่น ๆ ลดลงเหลือ 12-13°c จึงเตือนให้ระวังสุขภาพ

    2. โควิดคัมแบ็ก! เตือน Covid-19 โอไมครอน สายพันธุ์ใหม่ JN.1 แพร่เร็ว หลบภูมิ ยอดเสียชีวิตในไต้หวันสัปดาห์เดียวพุ่ง 34 ราย

              Covid-19 กลับมาระบาดรุนแรงอีกครั้ง คราวนี้เป็นสายพันธุ์ XBB และสายพันธุ์ย่อย EG.5 ซึ่งติดต่อง่ายและรวดเร็วขึ้น แถมหลบหลีกภูมิคุ้มกันได้ดี ไม่ว่าจะจากการฉีดวัคซีนหรือภูมิคุ้มกันสำเร็จรูป นอกจากนี้ยังเกิดการติดเชื้อซ้ำได้ง่ายขึ้น

     Covid-19 โอไมครอน สายพันธุ์ใหม่ JN.1 ซึ่งหลบภูมิคุ้มกันดีขึ้น แพร่เข้าสู่ไต้หวันแล้ว (ภาพจาก setn.com)

              กรมป้องกันโรคไต้หวันเตือนว่า Covid-19 โอไมครอน สายพันธุ์ใหม่ JN.1 ซึ่งหลบภูมิคุ้มกันดีขึ้น จนระบาดเพิ่มในยุโรป-อเมริกาเหนือและแพร่เข้าสู่เอเชีย ยืนยันว่า มีการตรวจพบผู้โดยสารจากญี่ปุ่น ติดเชื้อ Covid-19 โอไมครอน สายพันธุ์ใหม่ JN.1 ตั้งแต่ 20 พ.ย. 66 และพบผู้ป่วยในไต้หวันติดเชื้อสายพันธุ์นี้เมื่อ 30 พ.ย. ที่ผ่านมา แต่สายพันธุ์หลักที่กำลังระบาดในไต้หวันขณะนี้ ยังคงเป็นสายพันธุ์ XBB และสายพันธุ์ย่อย EG.5

    สายพันธุ์หลักที่กำลังระบาดในไต้หวันขณะนี้ ยังคงเป็นสายพันธุ์ XBB และสายพันธุ์ย่อย EG.5

              กรมป้องกันโรคเปิดเผยสถิติผู้ติดเชื้อในไต้หวันระหว่าง 5-11 ธ.ค. 66 เพียงสัปดาห์เดียว ยอดผู้ป่วยยืนยันเพิ่มใหม่ 232 ราย และพบว่า 99.6% ของผู้ป่วยเพิ่มใหม่ ไม่เคยฉีดวัคซีนป้องกัน Covid-19 สายพันธุ์ XBB มาก่อน และช่วงเวลาเดียวกันยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็น 34 ราย จัดเป็นตัวเลขผู้เสียชีวิตสูงสุดในรอบหลายเดือน ในจำนวนผู้เสียชีวิตทั้ง 34 ราย มี 97% ไม่เคยรับวัคซีนป้องกัน Covid-19 สายพันธุ์ XBB มาก่อน

    กรมป้องกันโรคจึงเรียกร้องให้ไปฉีดวัคซีนรุ่นใหม่ยี่ห้อโมเดอร์นาชนิด XBB.1.5 ได้ฟรีตั้งแต่วันที่ 11 ต.ค. นี้เป็นต้นมา ตามสถานพยาบาล สถานีอนามัยและคลินิกทั่วไต้หวันได้ (ภาพจาก commonhealth.com.tw)

              กรมป้องกันโรคจึงเรียกร้องให้ผู้ยังไม่เคยรับวัคซีนป้องกัน Covid-19 สายพันธุ์ XBB และสายพันธุ์ย่อย EG.5 รีบไปฉีดวัคซีนรุ่นใหม่ยี่ห้อโมเดอร์นาชนิด XBB.1.5 ได้ฟรีตั้งแต่วันที่ 11 ต.ค. นี้เป็นต้นมา ตามสถานพยาบาล สถานีอนามัยและคลินิกทั่วไต้หวันได้

    3. ชวนชมพลุหลากสีสันรับปีใหม่ยิ่งใหญ่กว่าทุกปี พลุสีสดใสจากญี่ปุ่น 1.6 หมื่นนัด 300 วินาทีที่ตึกไทเป 101 ส่วนนิวไทเปจัดที่สะพานตั้นเจียง 974 วินาที

              เหลือเวลาอีกเพียง 2 สัปดาห์จะสิ้นสุดปี 2566 แล้ว ทั่วไต้หวันเตรียมจัดงานเคานต์ดาวน์ต้อนรับปีใหม่ 2024 ในจำนวนนี้ที่ได้รับความสนใจและเป็นที่เลื่องลือระดับโลก ได้แก่ การจุดพลุส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่บนตึกไทเป 101 ปีนี้ จัดในธีมโลกที่เต็มไปด้วยสีสันมีชีวิตชีวา (COLORFUL WORLD) จุดพลุ 16,000 นัด ความยาว 300 วินาที นอกจากพลุคุณภาพสูงของไต้หวันแล้ว ปีนี้ ยังเป็นครั้งแรกที่ใช้พลุสีสันสดใสจากญี่ปุ่นมาผสมผสานด้วย กรุงไทเป คาดจะมีคนเข้าชมประมาณ 1 ล้านคน เจ้าภาพจัดงานรับประกันว่า ไปชมพลุไทเป 101 ปีนี้รับรองไม่ผิดหวัง

    ตึกไทเป 101 ปีนี้ ต้อนรับปีใหม่ 2024 ในคืนวันที่ 31 ธ.ค. 66 ในธีม COLORFUL WORLD ด้วยการจุดพลุ 16,000 นัด ความยาว 300 วินาที (ภาพจาก supertaste.tvbs.com.tw)

              นอกจากตึกไทเป 101 แล้ว บนสะพานตั้นเจียงที่กำลังอยู่ระหว่างก่อสร้าง จะแล้วเสร็จและเปิดใช้บริการในต้นปี 2569 แลนด์มาร์คแห่งใหม่ของไต้หวัน มีการจุดพลุต้อนรับปีใหม่มาแล้ว 2 ครั้ง นครนิวไทเปก็ประกาศว่า ปีนี้จะมีการจัดงานเคานต์ดาวน์ต้อนรับปีใหม่ยิ่งใหญ่กว่าทุกปี โดยจะมีการจุดพลุในคืนวันที่ 31 ธันวาคมนี้ เวลา 20.24 น. นาน 13 นาที 14 วินาที รวม 794 วินาที บนสะพานตั้นเจียง สะพานขึงแบบอสมมาตรเสาเดี่ยวที่ยาวที่สุดในโลก นครนิวไทเปก็รับประกันว่า ใครที่ไปชมรับรองไม่ผิดหวังเช่นกัน

    ภาพบรรยากาศการจุดพลุต้อนรับปีใหม่ที่สะพานตั้นเจียงในปีก่อน (ภาพจากเทศบาลนครนิวไทเป)

              สะพานตั้นเจียง เป็นสะพานขึงแบบอสมมาตรเสาเดี่ยว ความยาวทั้งโครงการ 12.08 กม. เฉพาะตัวสะพานช่วงข้ามแม่น้ำตั้นสุ่ยความยาว 920 เมตร เกือบ 1 กม. จัดเป็นสะพานขึงแบบอสมมาตรเสาเดี่ยวที่ยาวที่สุดในโลก ที่กรุงเทพฯ ก็มี คือสะพานพระราม 8 แต่ความยาว 300 เมตร ความยาวของสะพานตั้นเจียงขนาดนี้ ใช้เสาต้นเดียวเท่านั้นในการขึงลวดสลิง จัดเป็นสิ่งก่อสร้างที่ต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูง มีความสูง 211 เมตร พอๆ กับตึก 70 ชั้น ใช้เป็นทางรถยนต์ รถไฟฟ้า รถจักรยานยนต์ มีเลนสำหรับรถจักรยานและถนนคนเดิน สะพานแห่งนี้มีรูปทรงเอียงๆ คล้ายกับนางรำพนมมือไหว้ ทั้งนี้เป็นท่าสัญญาลักษณ์ของ คลาวด์ เกต แดนซ์ คณะศิลปะการแสดงเต้นระบำร่วมสมัยของไต้หวันที่มีชื่อเสียงก้องโลก ซึ่งมีฐานการแสดงอยู่ที่ตั้นสุ่ยนี่เอง เมื่อสร้างเสร็จ ในต้นปี 2569 แล้ว จะช่วยร่นระยะทางระหว่างตั้นสุ่ยและปาหลี่ถึง 15 กม. ช่วยประหยัดเวลาการเดินทางได้ถึง 25 นาที ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวชมพระอาทิตย์อัสดง และจะกลายเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของไต้หวันแทนที่ตึกไทเป 101  

       สะพานตั้นเจียงที่กำลังอยู่ระหว่างก่อสร้าง (ภาพจาก udn.com)

    ภาพจำลองสะพานตั้นเจียงเมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดใช้บริการในต้นปี 2569 (ภาพจาก LTN)

    3. สวยงาม! พบงูเขียวหางไหม้ทิฟฟานี่บลูในป่าภาคใต้ของไต้หวัน ชาวเน็ตตะลึงแห่คอมเมนต์ยกให้เป็นงูที่บำเพ็ญพรตจนกลายเป็นนางพญางูสีฟ้า

              เพจรวมภาพถ่ายงูป่าไต้หวัน โพสต์ภาพถ่ายงูเขียวหางไหม้ แต่เป็นสีฟ้าทิฟฟานี่ แทนที่จะเป็นสีเขียว กลายเป็นประเด็นที่มีการกล่าวขานกันมากในหมู่ชาวเน็ตไต้หวัน นายซูฟางหู่ นักถ่ายภาพงูป่า ผู้โพสต์คลิปและภาพถ่ายงูสวยงามดังกล่าวเล่าว่า เพิ่งจะพบงูตัวนี้เมื่อวันก่อนโดยบังเอิญ ขณะเข้าป่าที่ภาคใต้เพื่อถ่ายภาพธรรมชาติของงู เห็นงูที่มีลักษณะเป็นสีฟ้าเรืองแสง สะดุดตาและสวยงามมากกำลังเลื้อยบนกิ่งไม้ จึงถ่ายคลิปไว้

    นายซูฟางหู่ นักถ่ายภาพงูป่า พบงูเขียวหางไหม้ที่มีลักษณะเป็นสีฟ้าเรืองแสง สะดุดตาและสวยงามมากกำลังเลื้อยบนกิ่งไม้ (ภาพจาก udn.com)

              ภาพถ่ายงูเขียวหางไหม้ทิฟฟานี่บลูดังกล่าว กลายเป็นประเด็นร้อนทันที ชาวเน็ตจำนวนมากตะลึงความสวยงาม หลายคนเรียกงูเขียวหางไหม้ทิฟฟานี่บลู บ้างชมว่า เป็นงูในความฝัน บางคนบอกว่า เป็นงูที่บำเพ็ญพรตจนกลายเป็นนางพญางูสีฟ้า เหมือนนางพญางูขาวที่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความรัก การเสียสละ และการไถ่บาปในตำนานรักระหว่างนางพญางูขาวที่บำเพ็ญพรตมา 1,000 ปีถึงสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์ พบรักและแต่งงานกับบัณฑิตหนุ่ม แต่ต้องประสบอุปสรรคมากมาย ขณะที่บางคนบอกว่า น่าจะเป็นงูที่ขาดสารฟลาโวนอยด์ ซึ่งเป็นแหล่งของสีย้อมธรรมชาติ ส่วนใหญ่ให้สีเหลือง สีส้ม หรือส้มแดง จนกลายพันธุ์เป็นสีฟ้าทิฟฟานี่

    งูเขียวหางไหม้ทั่วไปลำตัวมีสีเขียวอมเหลืองสด ปลายหางมีสีแดงหรือสีน้ำตาล (chinatimes.com)

  • 1. อย่าประมาท!  โควิดไม่ได้หายไปไหน ผู้ป่วยโควิด-19 เสียชีวิต 31 คน มากที่สุดในรอบ 1 สัปดาห์...เขาเหอฮวนซาน อุณหภูมิ -6.6°c

           สัปดาห์นี้อากาศไต้หวันยังคงแปรปรวน ช่วงต้นสัปดาห์ ฝนตกเกือบทุกวันแถมตกแบบไม่รู้จักหยุดด้วย ในเขตตัวเมืองไม่หนาวมากนักแต่บนภูเขาสูงอุณหภูมิต่ำมาก บางแห่งติดลบ อย่างที่ภูเขาเหอฮวนซาน เมื่อวันพุธที่ผ่านมา -6.6 องศาเซลเซียส แต่เนื่องจากความชื้นไม่เพียงพอ  ทำให้ยังไม่มีหิมะตก มีเพียงแม่คะนิ้งเกาะตามพื้นเท่านั้น แต่พอปลายสัปดาห์อากาศดีขึ้น กลางวันอุณหภูมิสูงขึ้นมาถึง 25-26 องศาเซลเซียสยังคงต้องเตือนให้ทุกท่านที่อาศัยอยู่ในไต้หวันต้องระมัดระวัง ดูแลสุขภาพและรักษาความอบอุ่นให้แก่ร่างกายด้วย

    เมื่อวันพุธที่ผ่านมา ยอดเขาเหอฮวนซานอุณหภูมิ -6.6°c แต่เนื่องจากความชื้นไม่เพียงพอ  ทำให้ยังไม่มีหิมะตก มีเพียงแม่คะนิ้งเกาะตามพื้นและต้นไม้เท่านั้น (ภาพจาก chinatimes.com)

            นอกจากเรื่องอากาศแล้วยังคงต้องระวังเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ โรคโควิด-19 ไม่ได้หายไปไหน ยังคงระบาดอย่างต่อเนื่อง สัปดาห์นี้มีข่าว ผู้ป่วยโรคโควิด-19 เสียชีวิต 31 คน เป็นยอดผู้เสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบ 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา ถือว่าสูงที่สุดในรอบ 1 เดือน ในขณะที่มีผู้ติดเชื้อที่มีอาการต้องเข้ารับการรักษา 260 คน มากที่สุดในรอบ 5 สัปดาห์ ในขณะที่ผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ก็กลับมาเพิ่มขึ้นอีก หลังจากที่ก่อนหน้านี้ลดลงไปแล้ว ดังนั้นต้องขอให้ต้องระมัดระวัง หน้ากากอนามัยต้องมีติดตัวไว้ตลอดเวลา ทางที่ดีเมื่อโดยสารระบบขนส่งมวลชน และไปยังสถานที่ที่มีคนแออัดต้องหยิบขึ้นมาสวมทันที

    โรคโควิด-19 ยังคงระบาดในไต้หวันอย่างต่อเนื่อง สัปดาห์นี้มีรายงานผู้ป่วยโรคโควิด-19 เสียชีวิต 31 คน

    2. สาว ๆ กรี๊ด! กลุ่มนักดับเพลิงหุ่นล่ำกล้ามแน่นเมืองต่าง ๆ ทั่วไต้หวัน แห่ถ่ายปฏิทินการกุศล

              นักดับเพลิงในไต้หวันไม่เพียงแต่ปฏิบัติหน้าที่ดับเพลิงและกู้ภัยร้ายทุกชนิด ยังทำกิจกรรมการกุศลเพื่อหารายได้ช่วยเหลือสังคมด้วย อย่างนครนิวไทเป เริ่มจัดให้หนุ่มนักดับเพลิงถอดชุดฟอร์มโชว์หุ่นล่ำกล้ามโตเป็นมัด ๆ ร้อนฉ่าและกลายเป็นไวรัลทั่วไต้หวันตั้งแต่ 16 ปีที่แล้ว ในปีนี้ ยังคงจัดทำปฏิทินนักดับเพลิงที่ไม่ซ้ำกันออกมาติดต่อกันเป็นปีที่ 17 เชิญนักดับเพลิงออสเตรเลียเดินทางมาร่วมงานแถลงข่าวเปิดตัวเป็นปีที่ 4 โดยปีนี้นายแบบและนางแบบในปฏิทินเป็นแบบผสมผสาน คัดสรรนักดับเพลิงหุ่นล่ำ 6 คน นักกีฬาเบสบอลจากสโมสร Fubon Guardians 3 คนและสาวเชียร์ลีดเดอร์อีก 3 คน ลงปฏิทินนักดับเพลิงนครนิวไทเป 2024 สามารถหาซื้อได้จากแอปพลิเคชันของร้านสะดวกซื้อ ในราคาชุดละ 119 เหรียญ (ตามเลขสายด่วนแจ้งเหตุฉุกเฉินและไฟไหม้-ดับเพลิง) รายได้ทั้งหมด หลังหักต้นทุนการจัดทำแล้ว จะมอบให้มูลนิธิการกุศลนำไปช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเปราะบางต่อไป

    นครนิวไทเป จัดให้หนุ่มนักดับเพลิง นักกีฬาเบสบอลและสาวเชียร์ลีดเดอร์ลงปฏิทินนักดับเพลิงนครนิวไทเป 2024 (ภาพจากกองดับเพลิงนครนิวไทเป)

              นอกจากนครนิวไทเปแล้ว กองดับเพลิงเมืองต่าง ๆ ทั่วไต้หวัน ก็มีการจัดทำปฏิทินนักดับเพลิงเช่นกัน อย่างนครเถาหยวน เปิดตัวปฏิทินนักดับเพลิง 2024 อย่างไม่เป็นทางการ คัดสรรเจ้าหน้าที่ดับเพลิง 12 หนุ่ม 1 สาวลงปฏิทิน 12 เดือน ทั้งแบบแขวนและแบบตั้งโต๊ะ อวยพรปีใหม่ 2024 แต่ไม่ขาย ใช้วิธีแจกให้ผู้ร่วมกิจกรรมในเพจ "ทีมสุนัขค้นหาและกู้ภัย Tyfd-K9 Taoyuan" ของหน่วยดับเพลิงเถาหยวน มีจำนวนจำกัดเพียง 1,000 ชุด เปิดตัวภาพถ่ายวันแรก ก็มีคนกดไลค์กว่า 6,000 คน

    นครเถาหยวน เปิดตัวปฏิทินนักดับเพลิง 2024 อย่างไม่เป็นทางการ คัดสรรเจ้าหน้าที่ดับเพลิง 12 หนุ่ม 1 สาวลงปฏิทิน 12 เดือน ทั้งแบบแขวนและแบบตั้งโต๊ะ อวยพรปีใหม่ 2024 (ภาพจากเพจ ทีมสุนัขค้นหาและกู้ภัย Tyfd-K9 Taoyuan)

              ส่วนที่นครไทจง คัดเลือกนักดับเพลิง 9 หนุ่ม 4 สาวลงปฏิทิน 2024 จะแจกฟรีปฏิทิน 12 เดือนที่เป็นรูปเล่มให้แก่ผู้บริจาคเลือดที่ศูนย์บริการโลหิตไทจง หรือคลิกดาวน์โหลดในรูปไฟล์ PDF ได้ที่นี่ !!

    กองดับเพลิงนครไทจงคัดเลือกนักดับเพลิง 9 หนุ่ม 4 สาวลงปฏิทิน 2024 จะแจกฟรีปฏิทิน 12 เดือนที่เป็นรูปเล่มให้แก่ผู้บริจาคเลือดที่ศูนย์บริการโลหิตไทจง (ภาพจากกองดับเพลิงนครไทจง)

    3. เปิดวาร์ป ห้องสมุดสาธารณะเถาหยวน ห้องสมุดที่สวยที่สุดในไต้หวัน

    ห้องสมุดสาธารณะเถาหยวน ตั้งอยู่ในเขตศิลปวัฒนธรรมเถาหยวน (Taoyuan Art District 桃園園藝文區)

           ในยุคที่ผู้คนส่วนใหญ่หันไปค้นหาข้อมูลจากบนอินเทอร์เน็ตกัน จากในอดีตที่จะต้องค้นหาข้อมูลจากหนังสือในห้องสมุดกัน ทำให้ห้องสมุดมีคนไปใช้บริการน้อยลงและบางแห่งก็ปิดตัวลง หรือปรับเปลี่ยนไปเป็นสถานที่ที่ให้บริการด้านอื่นหรือเพื่อกิจการอื่นแทน  แต่น่าแปลกที่ห้องสมุดสาธารณะเถาหยวน (Taoyuan Public  Library) หลังเปิดตัวได้ 1 ปี มีคนไปใช้บริการมากถึง 4.23 ล้านคน ในขณะเดียวกันห้องสมุดสาธารณะในนครเถาหยวนที่มีทั้งสิ้น 43 แห่ง ในปี 2566 นี้ มีคนไปใช้บริการมากถึง 12 ล้านคนครั้ง เพิ่มจากปีที่แล้วประมาณ 35%นครเถาหยวนที่มีประมาณ 2.3 ล้านคน เฉลี่ยคนเถาหยวนไปใช้บริการห้องสมุดสาธารณะปีละ 5.2 ครั้ง และเพื่อเป็นการกระตุ้นให้คนเถาหยวนรักการอ่านหนังสือมากขึ้น ทางเทศบาลนครเถาหยวนได้จัดหาหนังสือมาเพิ่มเติมให้แก่ห้องสมุดสาธารณะประมาณ 1 ล้านเล่ม จากเดิมที่มีอยู่แล้ว 5.8 ล้านเล่ม 

    หลังเปิดตัวได้ 1 ปี มีคนไปใช้บริการมากถึง 4.23 ล้านคน (ภาพจาก walkerland.com.tw)

          ห้องสมุดสาธารณะเถาหยวนเปิดใช้เมื่อเดือนธันวาคมปี 2565 ตั้งอยู่ที่เขตศิลปวัฒนธรรมเถาหยวน (Taoyuan Art District : 桃園園藝文區) ซึ่งเป็นย่านเมืองใหม่ เป็นอาคาร 10 ชั้น เป็นชั้นใต้ดิน 2 ชั้น บนดิน 8 ชั้น ภายในออกแบบให้เหมือนกับมีต้นไม้ใหญ่อยู่กลางห้องสมุด เป็นตัวช่วยในการระบายอากาศและเพิ่มแสงสว่าง ชั้นวางหนังสือยังป้องกันแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวได้ด้วย ห้องสมุดแห่งนี้จึงได้ชื่อว่าเป็นสถาปัตยกรรมสีเขียวที่เป็นมิตรกับสภาพแวดล้อม ประหยัดพลังงาน ควบคู่ไปกับใช้ประโยชน์จากอาคารได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ภายในออกแบบให้เหมือนกับมีต้นไม้ใหญ่อยู่กลางห้องสมุด เป็นตัวช่วยในการระบายอากาศและเพิ่มแสงสว่าง (ภาพจาก walkerland.com.tw)

         นอกจากนี้ยังได้ชื่อว่าเป็นห้องสมุดสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดในไต้หวันโดยมีพื้นที่ใช้งานทั้งสิ้น 14,006 ผิง หรือประมาณ 46, 219.8 ตารางเมตร  (1 ผิง มีพื้นที่ประมาณ 3.3 ตารางเมตร)  ภายในมีโรงภาพยนตร์ ลานแสดงงานศิลปะและผลิตภัณฑ์เชิงวัฒนธรรม ร้านอาหารและร้านกาแฟดัง อย่างสตาร์บัค เป็นต้น ที่น่าชื่นชมคือมีการกันพื้นที่ไว้ให้ทั้งชั้นไว้เป็นห้องหนังสือเด็ก มีทั้งโซนอ่านหนังสือและโซนวาดเขียน  ทำให้ที่นี่กลายเป็นสถานที่พักผ่อนในวันหยุดของครอบครัวที่มีเด็กวัยก่อนเรียนและวัยประถมฯ

    มีการกันพื้นที่ไว้ให้ทั้งชั้นไว้เป็นห้องหนังสือเด็ก มีทั้งโซนอ่านหนังสือและโซนวาดเขียน (ภาพจาก walkerland.com.tw)

    มีการกันพื้นที่ไว้ให้ทั้งชั้นไว้เป็นห้องหนังสือเด็ก มีทั้งโซนอ่านหนังสือและโซนวาดเขียน (ภาพจาก walkerland.com.tw)

         นอกจากจัดหาหนังสือน่าอ่านมาเพิ่มเติมแล้ว เทศบาลนครเถาหยวนยังได้สร้างห้องสมุดใหม่อีก 3 แห่ง ที่ชุมชนอี้หมิน เขตผิงเจิ้น ห้องสมุดที่เฉาท่า เขตกวนอิน และชุมชนซานฮ่าว เขตปาเต๋อ จะเปิดใช้ในปีหน้านี้ และยังเตรียมก่อสร้างห้องสมุดอัจฉริยะ 3 แห่ง ที่เขตจงลี่ ต้าซีและผูติ่ง

         แผนที่ห้องสมุดสาธารณะเถาหยวน (Taoyuan Public  Library) Google Maps : https://maps.app.goo.gl/9ebxJ8ZxtDdYVo5m9

    4. ปฏิบัติอย่างเสมอภาค! ตำรวจเถาหยวนไม่ชะลอรถให้คนข้ามถนน ถูกปรับ 6,000 เหรียญ ตัดแต้มใบขับขี่ 3 คะแนนและรับการอบรมอีก 3 ชั่วโมง

          ทุกคนต้องเคารพกฎจราจร ให้คนเดินข้ามถนนเดินไปก่อน เป็นประโยคที่ตำรวจประชาสัมพันธ์เป็นประจำ ไม่เพียงแต่คนทั่วไปเท่านั้น ตำรวจก็ต้องปฏิบัติตามด้วย แต่รถตำรวจของสถานีตำรวจกุยซาน นครเถาหยวน ขณะตรวจลาดตระเวนไปตามท้องถนนเมื่อกลางดึกเวลา 23.00 น. วันที่ 25 ตุลาคมที่ผ่านมา เลี้ยวซ้ายเจอทางม้าลาย ไม่ชะลอความเร็วและหยุดให้คนเดินข้ามทางม้าลาย ทำให้เกือบจะเกิดอุบัติเหตุชนกับคนข้ามถนน มีรถคันอื่นที่อยู่ในเหตุการณ์บันทึกภาพฝ่าฝืนกฎจราจรดังกล่าวไว้ได้และอัปโหลดภาพแจ้งความออนไลน์ สถานีตำรวจกุยซานก็เป็นกลาง จัดการลงโทษตำรวจที่ขับรถปฏิบัติหน้าที่ในวันนั้นตามระเบียบ ปรับ 6,000 เหรียญและบันทึกคะแนนความประพฤติในการขับขี่ 3 คะแนน และสั่งให้ตำรวจดังกล่าวเข้ารับการอบรมกฎจราจรใหม่เป็นเวลา 3 ชั่วโมง ก็ถือว่ามีการปฏิบัติอย่างเสมอภาค ขอปรบมือให้ด้วย

    รถตำรวจเถาหยวนไม่ชะลอความเร็วและหยุดให้คนเดินข้ามทางม้าลาย ทำให้เกือบจะชนกับคนข้ามถนน มีรถคันอื่นที่อยู่ในเหตุการณ์บันทึกภาพฝ่าฝืนกฎจราจรดังกล่าวไว้ได้และอัปโหลดภาพแจ้งความออนไลน์

          การบันทึกคะแนนความประพฤติในการขับขี่ของไต้หวันระบบใหม่ เริ่มใช้ตั้งแต่วันที่ 30 มิ.ย. 66 เป็นต้นมา ผู้ขับรถไม่ชะลอหรือหยุดรถให้คนข้ามถนนและฝ่าไฟแดง บันทึก 3 คะแนน บรรทุกของโดยไม่มัดให้แน่น ขับรถบนไหลทางทางด่วน บันทึก 2 คะแนน จอดรถในที่ห้ามจอด บันทึก 1 คะแนน ภายใน 1 ปี หากถูกบันทึกครบ 12 คะแนน จะถูกยึดใบขับขี่ 2 เดือน ภายใน 2 ปีถูกยึดใบขับขี่ 2 ครั้งและยังทำผิดกฎจราจรอีก จะถูกยึดใบขับขี่ตลอดชีพ

    ตำรวจที่ขับรถไม่หยุดรถให้คนข้ามถนนก่อน ถูกปรับ 6,000 เหรียญและบันทึกคะแนนความประพฤติในการขับขี่ 3 คะแนน และต้องเข้ารับการอบรมกฎจราจรใหม่เป็นเวลา 3 ชั่วโมง

  • 1. เตือนอากาศหนาวแฉะถึงกลางสัปดาห์หน้า วันจันทร์อาจมีโอกาสเห็นหิมะแรกของปีตกบนยอดเขาอวี้ซาน เตือนหลีกเลี่ยงไปยังชายหาด ป้องกันคลื่นยักษ์ซัดเข้าฝั่ง

              สภาพอากาศในไต้หวันช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา กลางวันอบอุ่นถึงร้อน กลางคืนและเช้า อากาศเย็นถึงหนาว ช่วงครึ่งหลังสัปดาห์อากาศหนาวเย็น ครึ้มฟ้าครึ้มฝน กรมอุตุนิยมวิทยาพยากรณ์ว่า สภาพอากาศที่หนาวเย็นและชื้นแฉะเช่นนี้ จะดำเนินไปจนถึงวันพฤหัสบดีหน้า (7 ธ.ค.) และหากอุณหภูมิและความชื้นเอื้ออำนวย อาจได้เห็นหิมะแรกของปีนี้ ตกบนยอดเขาอวี้ซานในวันจันทร์ที่ 4 ธ.ค. 2566

    กรมอุตุนิยมวิทยาพยากรณ์ว่า สภาพอากาศที่หนาวเย็นและชื้นแฉะจะดำเนินไปจนถึงวันพฤหัสบดีหน้า (7 ธ.ค.)

              นอกจากนี้ยังต้องระวังลมกระโชกแรงระดับ 9-10 โดยเฉพาะเถาหยวน ซินจู๋ เหมียวลี่ ไทจง จางฮั่ว หยุนหลิน เจียอี้และเกาะรอบนอก หลีกเลี่ยงไปยังชายหาดทะเล ป้องกันอันตรายจากคลื่นยักษ์ที่ซัดเข้าฝั่ง

    2. เตือนอย่าเพิ่งถอดหน้ากากอนามัย สารพัดโรคระบบทางเดินหายใจระบาด โรคปอดบวมจากเชื้อไวรัสไมโคพลาสมาลามเข้าไต้หวัน พยาบาลสาวที่ไทจงไอเรื้อรัง 2 เดือน ยืนยันติดเชื้อ

              เข้าสู่หน้าหนาว อากาศแปรปรวน เดียวร้อนเดียวหนาว เป็นฤดูที่ติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจได้ง่าย แต่หน้าหนาวปีนี้ เต็มไปด้วยสารพัดโรค หากไม่ระวังอาจถูกจู่โจมได้ง่าย นอกจากไข้หวัดใหญ่ที่ค่อนข้างรุนแรงแล้ว ช่วงนี้ มีข่าวที่สร้างความวิตกกังวลให้แก่ชาวไต้หวันข่าวหนึ่ง ได้แก่โรคปอดบวมจากเชื้อไวรัสไมโคพลาสมาที่กำลังระบาด ในจีนแผ่นดินใหญ่ ลุกลามเข้าสู่ไต้หวัน พบมีผู้ติดเชื้อแล้วหลายราย เกรงจะบานปลาย กระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการเตือน วิธีป้องกันกลุ่มโรคติดเชื้อทางระบบทางเดินหายใจ ได้แก่ไข้หวัดใหญ่ ไรโนไวรัสและเชื้อไวรัสไมโคพลาสมาที่ก่อให้เกิดโรคปอดบวม ฯลฯ ก็คือ สวมใส่หน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือด้วยสบู่และหลีกเลี่ยงไปยังสถานที่ที่มีผู้คนชุมนุมหนาแน่นแออัด

    พยาบาลสาวอายุ 20 ปีเศษที่ไทจง (ซ้ายมือ) มีไข้เล็กน้อยและไอเรื้อรังมานานกว่า 2 เดือนไม่หาย ตรวจพบติดเชื้อไวรัสไมโคพลาสมา

              ช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้ มีข่าวว่าที่จีนแผ่นดินใหญ่ โดยเฉพาะที่กรุงปักกิ่ง นครเทียนจินและเซี่ยงไฮ้ มียอดจำนวนผู้ป่วยระบบทางเดินหายใจเพิ่มมากขึ้น จนล้นโรงพยาบาล ในจำนวนนี้ โรคปอดบวมจากการเชื้อไวรัสไมโคพลาสมาในเด็กรุนแรงที่สุด ในไต้หวันเองก็พบผู้ป่วยโรคนี้แล้วหลายราย อย่างที่ไทจง พยาบาลสาวอายุ 20 ปีเศษ มีไข้เล็กน้อยและไอเรื้อรังมานานกว่า 2 เดือนไม่หาย ที่แรกคิดว่าติดเชื้อไข้หวัดใหญ่ แต่ตรวจวิเคราะห์แล้ว ไม่ใช่ทั้งไข้หวัดใหญ่และเชื้อโคโรนาไวรัสที่เป็นสาเหตุก่อให้เกิดโรคโควิด-19 ซึ่งยังมีการระบาดในไต้หวันเหมือนเดิมต่อไป เพียงแต่มีอาการไม่รุนแรงเหมือนในอดีต อาการในปัจจุบันพอ ๆ กับไข้หวัดใหญ่ ในที่สุดตรวจพบติดเชื้อไวรัสไมโคพลาสมา และผู้ป่วยที่ติดเชื้อและมีอาการเดียวกันกำลังมีจำนวนเพิ่มขึ้น

    ผู้ติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจในไต้หวันเพิ่มมากขึ้น ในภาพเป็นนายแพทย์ ไล่หย่งชิงจากโรงพยาบาลหลินซินที่เขตอูรื่อ ไทจง รักษาคนไข้ (ซ้ายมือ) ที่ติดเชื้อทั้งไมโคพลาสมาและโควิด-19 จนอาการดีขึ้นแล้ว (ภาพจาก udn.com)

              แม้ว่า ทั้งองค์การอนามัยโลกและทางการจีนแผ่นดินใหญ่จะออกมายืนยัน การรระบาดหนักของโรคระบบทางเดินหายใจตามโรงเรียนและโรงพยาบาล ไม่พบเชื้อโรคที่ผิดปกติหรือเชื้อโรคอุบัติใหม่ในจีน ที่เพิ่มขึ้นเป็นไข้หวัดใหญ่และโรคปอดบวมจากการเชื้อไวรัสไมโคพลาสมา ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสเดิม ไม่ใช่เป็นโรคอุบัติใหม่ และกระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการของไต้หวันก็กล่าวว่า ไม่ต้องวิตกกังวลจะเป็นการระบาดใหญ่ครั้งใหม่เหมือนโรคโควิด-19 แต่ก็เตือนให้ป้องกันตัวด้วยการสวมใส่หน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือด้วยสบู่และหลีกเลี่ยงไปยังสถานที่ที่มีผู้คนชุมนุมหนาแน่นแออัด

    3. รู้หรือไม่? ประธานาธิบดีไต้หวันมีเงินเดือนเท่าไหร่ มีอภิสิทธิ์อะไรบ้าง?

           ไต้หวันมีกำหนดจะจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีสมัยที่ 16 และสมาชิกสภานิติบัญญัติ สมัยที่ 11 ในวันที่ 13 มกราคม 2567 เนื่องจากสถานการณ์ระหว่างสองฝั่งช่องแคบไต้หวันที่ตึงเครียดขึ้นทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้ได้รับการจับตามองจากสังคมไต้หวันและประชาคมโลกเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเลือกตั้งประธานาธิบดี ซึ่งเป็นตำแหน่งผู้นำประเทศและผู้บัญชาการสูงสุดของสามเหล่าทัพโดยตำแหน่ง ในครั้งนี้มีผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดี ซึ่งต้องลงสมัครคู่กัน 3 ทีม ได้แก่

           ทีมที่ 1 นายไล่ชิงเต๋อ ( 賴清德) รองประธานาธิบดีคนปัจจุบันจับคู่กับเซียวเหม่ยฉิน (蕭美琴)อดีตผู้แทนรัฐบาลไต้หวันประจำสหรัฐฯ เป็นผู้สมัครจากพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (DPP) หรือพรรคสีเขียวซึ่งเป็นพรรครัฐบาลชุดปัจจุบัน

    แคนดิเดตประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีจากพรรคดีพีพี ไล่ชิงเต๋อ (ซ้าย) กับเซียวเหม่ยฉิน (ขวา)

           ทีมที่ 2 นายโหวโหย่วอี๋ (侯友宜) ผู้ว่าการนครนิวไทเป จับคู่กับนายจ้าวเส้าคัง (趙少康) ประธาน BCC สถานีวิทยุเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในไต้หวันและเป็นพิธีกรรายการทอล์กโชว์การเมืองฝีปากเอกและอดีตเคยดำรงตำแหน่งสมาชิกสภานิตบัญญัติหลายสมัยและรัฐมนตรีกระทรวงสิ่งแวดล้อม เป็นตัวแทนจากพรรคก๊กหมินตั๋ง (KMT) หรือพรรคสีน้ำเงิน ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านที่ใหญ่ที่สุดของไต้หวัน

    แคนดิเดตประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีจากพรรคเคเอ็มที โหวโหย่วอี๋ (ซ้าย) กับจ้าวเส้าคัง (ขวา)

           ทีมที่ 3 นายเคอเหวินเจ๋อ (柯文哲) อดีตผู้ว่าการกรุงไทเป 2 สมัยติดต่อกัน จับคู่กับนางอู๋ซินอิ๋ง (吳欣盈) สมาชิกสภานิติบัญญัติ และเป็นทายาทรุ่นที่ 3 ของกลุ่ม Shin Kong Group กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ของไต้หวัน เจ้าของห้างสรรพสินค้า Shin Kong Mitsukoshi (新光三越) และธุรกิจด้านการเงินอย่าง Shin Kong Financial Holdings (SKFH) และธนาคารซินกวง (Shin Kong Bank) เป็นตัวแทนพรรคประชาชนไต้หวัน (TPP) หรือพรรคสีขาว

    แคนดิเดตประธานาธิบดีและรองประธานาธิบดีจากพรรคทีพีพี เค๋อเหวินเจ๋อ (ขวา) กับอู๋ซินอิ๋ง (ซ้าย) (ภาพจาก udn.com)

          ผลการสำรวจคะแนนนิยมล่าสุดพบว่า ทีมของไล่ฯและเซียวฯ ตัวแทนพรรคสีเขียว มาเป็นอันดับ 1 ด้วยคะแนน 36 % อันดับ 2 คือ โหวฯ กับจ้าวฯ ตัวแทนพรรคสีน้ำเงิน 31% และรั้งท้ายด้วยทีมของเคอฯกับอู๋ฯเหลือแค่ 18%  อย่างไรก็ดี ไม่ว่าทีมใดจะชนะการเลือกตั้ง ก็จะเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 พฤษภาคม 2567 คราวนี้มาดูกันว่าประธานาธิบดีของไต้หวันต้องมีคุณสมบัติอย่างไร มีเงินเดือนเท่าไหร่และมีอภิสิทธิ์อะไรบ้าง

    ทำเนียบประธานาธิบดีสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) สถานที่ทำงานของผู้นำไต้หวัน (ภาพจาก opinion.cw.com.tw)

          รัฐธรรมนูญของสาธารณรัฐจีน(ไต้หวัน) บัญญัติไว้ว่า ประธานาธิบดีนอกจากเป็นผู้นำประเทศแล้ว ยังมีฐานะเป็นผู้บัญชาการสูงสุดของ 3 เหล่าทัพ โดยตำแหน่งอีกด้วย มีวาระในการดำรงตำแหน่ง 4 ปี สามารถดำรงตำแหน่งติดต่อกันได้ 2 สมัย ขณะที่ลงสมัครรับเลือกตั้งต้องมีอายุครบ 40 ปีขึ้นไป สำหรับเงินเดือนของประธานาธิบดีสาธารณรัฐจีน (ไต้หวัน) คือเดือนละ 490,460 เหรียญไต้หวัน

         นอกจากนี้ยังมีเบี้ยเลี้ยงพิเศษ เดือนละ 250,000 เหรียญไต้หวัน ซึ่งจะปรับตามการปรับขึ้นเงินเดือนของข้าราชการด้วย ในอดีตรัฐบาลจะจ่ายเบี้ยเลี้ยงพิเศษนี้ให้แก่อดีตประธานาธิบดีตลอดชีพ แต่ต่อมาได้มีการแก้ไขกฎหมายและเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2554 เป็นต้นมา กำหนดให้หลังลงจากตำแหน่งแล้วยังจะคงมีเงินเบี้ยเลี้ยงให้อีก 8 ล้าน 7 ล้านและ 6 ล้าน สำหรับปีที่ 1 ปีที่2 และปีที่ 3 ตามลำดับ ส่วนปีที่ 4 เป็นต้นไปปีละ 5 ล้าน โดยจ่ายให้ตามระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่ง อาทิ หากอยู่ในตำแหน่ง 2 สมัย หรือ 8 ปีก็จะรับเบี้ยเลี้ยงพิเศษนี้หลังลงจากตำแหน่งเป็นเวลา 8 ปี นอกจากนี้ยังคงจัดเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยให้แก่อดีตประธานาธิบดี 8-12 คน ซึ่งลดลงจากช่วงที่อยู่ในตำแหน่งกึ่งหนึ่ง อย่างไรก็ดี หากประธานาธิบดีพัวพันคดีคอร์รัปชันและถูกศาลพิพากษาว่ามีความผิดจะถูกเพิกถอนอภิสิทธิ์ทุกอย่างทันที

         มาดูกันว่าผู้นำประเทศอื่นๆ มีรายรับประมาณเท่าไหร่ และผู้นำประเทศใดเงินเดือนสูงที่สุด

           อันดับที่ 1 สิงคโปร์ ผู้นำสิงคโปร์มีรายรับปีละ 1.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเดือนละ 4.133 ล้านเหรียญไต้หวัน

          อันดับที่ 2 ฮ่องกง ผู้ว่าการเขตบริหารพิเศษฮ่องกงมีรายรับปีละ 560,000  ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเดือนละ 1.4 ล้านเหรียญไต้หวัน

          อันดับที่ 3 สวิตเซอร์แลนด์ ผู้นำมีรายรับปีละ 480,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเดือนละ 1.24 ล้านเหรียญไต้หวัน

          อันดับที่ 4 สหรัฐอเมริกา รายรับปีละ 400,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเดือนละ 1.03 ล้านเหรียญไต้หวัน

          สำหรับนายกรัฐมนตรีไทย มีรายรับรวมเดือนละ 125,590 บาท

  •  

    1. ลมหนาวมาเป็นระลอก กลางคืนกลางวันอุณหภูมิต่างกันมาก แพทย์เตือน! ระวังภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน

            สัปดาห์ที่ผ่านกลางวันอากาศร้อนมาก กลางคืนเย็นสบาย เช้าอาจหนาวนิด ๆ กลางคืนกับกลางวัน อุณหภูมิต่างกันมาก ทำให้โรคหลอดเลือดกำเริบได้ง่าย นายไล่เซี่ยงหัว เจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงสาธารณสุขและสวัสดิการ เสียชีวิตเพราะภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน เมื่อช่วงเช้าตรู่วันที่ 19 พ.ย. ที่ผ่านมา ในวัยเพียง 56 ปี แพทย์เตือนว่า ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันเป็นเพชฌฆาตที่คร่าชีวิตคนวัยฉกรรจ์ มีอัตราการตายสูงกว่า 20 %

           

    อากาศหนาว ๆ ร้อน ๆ กลางคืนกลางวันอุณหภูมิต่างกันมาก ระวังภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน

           แพทย์เตือนอุณหภูมิที่ลดลงกะทันหันและอุณหภูมิแตกต่างกันอย่างมากระหว่างกลางวันและกลางคืน กระตุ้นให้โรคหลอดเลือดหัวใจกำเริบได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายถือเป็นอันตรายถึงชีวิตในวัยกลางคน โดยมีอัตราการเสียชีวิตสูงถึง 20% แพทย์ชี้ปัจจัยเสี่ยงสูงต่อการเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตาย ได้แก่ ประวัติครอบครัว นิสัยการสูบบุหรี่ และความเครียด แนะนำให้ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงต้องเข้ารับการรักษา รับประทานยา เลิกสูบบุหรี่ ควบคุมน้ำหนัก และเพิ่มการออกกำลังกาย หากมีอาการเจ็บหน้าอกอย่างรุนแรงและมีเหงื่อออกมาก ควรไปพบแพทย์โดยเร็ว

    อากาศหนาว ๆ ร้อน ๆ กลางคืนกลางวันอุณหภูมิต่างกันมาก ระวังภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน (ภาพจาก udn.com)

    2. จุดเช็กอินแห่งใหม่! ไทเปโดม สนามกีฬาในร่มอเนกประสงค์ขนาดยักษ์จุผู้ชมได้ 40,000 คนที่ชาวไทเปรอคอยมานาน 32 ปี เปิดใช้แล้ว อนาคต ลิซ่า BLACKPINK อาจมาเปิดการแสดงที่นี่

              เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ชาวไต้หวัน 13,000 คน ลงทะเบียนซื้อบัตรเข้าชมการแข่งขันเบสบอลในไทเปโดม (Taipei Dome) เพื่อคัดเลือกนักกีฬาเบสบอลเข้าร่วมทีมชาติไต้หวันที่จะไปแข่งขันในรายการเบสบอลชิงแชมป์โลกรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ( U-23 Baseball World Cup) การเปิดให้ผู้ชม 13,000 คนซื้อบัตรเข้าชมการแข่งขันครั้งนี้ นอกจากการแข่งขันแล้ว ที่สำคัญเป็นการทดสอบระบบความปลอดภัยของสนามกีฬารูปทรงไข่ขนาดยักษ์จุผู้ชมได้ 40,000 คนแห่งนี้ โดยเฉพาะการระบายผู้ชม ขณะสิ้นสุดการแข่งขัน การจราจรรอบข้างและระดับความดังของเสียงรบกวน ปรากฏว่าได้มาตรฐาน ผู้ชมใช้เวลา 35 นาทีในการแยกย้ายออกจากสนามกีฬาโดยไม่ทำให้การจราจรติดขัด และในวันที่ 3 ธ.ค. 66 จะเปิดให้ผู้ชมมากกว่านี้เข้าชมการแข่งขันอย่างเป็นทางการในรายการ Asian Baseball Championship

    ชาวไทเปรอคอยมานาน 32 ปี ในที่สุด ไทเปโดม สนามกีฬาในร่มอเนกประสงค์ขนาดยักษ์จุผู้ชมได้ 40,000 คน เปิดใช้อย่างเป็นทางการแล้ว

              นอกจากการแข่งขันกีฬาเบสบอลแล้ว ยังรองรับการจัดกิจกรรมขนาดใหญ่ โดยเฉพาะการแสดงคอนเสิร์ตของนักร้องดัง อย่าง เมย์เดย์ (MAYDAY : 五月天หรือ อู่เยว่เทียน) วงร็อกอันดับ 1 ของไต้หวัน เจโจ, จางฮุ่ยเม่ย, โจลิน หรือแม้กระทั่ง K-POP วงดังระดับโลกอย่าง BLACKPINK ที่มีนักร้องขวัญใจชาวไทยลิซ่า ลลิษา ชาวไทเปก็มีโอกาสชมการแสดงได้ที่นี่

    ในอนาคต ชาวไทเปมีโอกาสชมการแสดงคอนเสิร์ตวงดังระดับโลกได้ที่ไทเปโดม ในภาพ K-POP วงดังระดับโลกอย่าง BLACKPINK ที่มีนักร้องขวัญใจชาวไทยลิซ่า ลลิษา เปิดการแสดง 2 รอบที่เกาสงเมื่อ 18-19 มี.ค. 66 (ภาพจาก news.ebc.net.tw)

              ที่จริงในกรุงไทเป มีสนามกีฬาอเนกประสงค์แห่งหนึ่งอยู่แล้ว คือ Taipei Arena (台北小巨蛋) แต่จุคนชมสูงสุดได้เพียง 15,000 คน ไม่เหมาะสำหรับการแข่งขันหรือการแสดงคอนเสิร์ตระดับนานาชาติ ทั้งนี้ การแข่งขันเบสบอลเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2534 ผู้ชมกว่า 11,000 คน ท่ามกลางแดดร้อนจนเหงื่อไหลไคลย้อยต่างเรียกร้องเสียงดังขณะชมการแข่งขันในสนามกีฬากลางแจ้งในไทเปพากันร้องเสียงดังพร้อมกันว่า พวกเราต้องการโดมขนาดใหญ่! นายห่าวโป๋ชุน นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ตอบรับทันที จะก่อสร้างสนามกีฬาในร่มขนาดใหญ่ให้ผู้ชมได้ชมการแข่งขันได้อย่างสบายใจ และนี่ก็เป็นที่มาของการผลักดันก่อสร้างไทเปโดม

    เมื่อ 18 พ.ย. ที่ผ่านมา ชาวไต้หวัน 13,000 คน เข้าชมการแข่งขันเบสบอลในไทเปโดม (Taipei Dome) เป็นการทดสอบระบบความปลอดภัยของสนามกีฬารูปทรงไข่ขนาดยักษ์จุผู้ชมได้ 40,000 คนแห่งนี้ (ภาพจาก udn.com)

              นายกรัฐมนตรีห่าวโป๋ชุน ไม่ได้รับปากอย่างเดียว สั่งให้ศึกษา เลือกสถานที่และวางแผนออกแบบการก่อสร้างไทเปโดม จนถึงปี ค.ศ. 2547 ในสมัยที่อดีตประธานาธิบดีหม่าอิงจิ่วเป็นผู้ว่าการกรุงไทเป จึงลงนามสัญญาก่อสร้างกับบริษัท Farglory Group ผู้รับสัมปทานในการลงทุนก่อสร้างและได้รับสิทธิ์บริหาร 50 ปี จากนั้นคืนให้แก่กรุงไทเป หรือที่เรียกกันว่าระบบ BOT (Build–operate–transfer) กำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดใช้ในปลายปี ค.ศ. 2558 ในสมัยนายห่าวหลงปิงเป็นผู้ว่าการกรุงไทเป ได้เร่งการก่อสร้างตามกำหนดเกือบแล้วเสร็จอยู่แล้ว ปรากฏว่า นายเคอเหวินเจ๋อชนะการเลือกตั้ง โดยตั้งข้อสงสัยว่า โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ 5 แห่ง รวมไทเปโดม มีปัญหาคอร์รับชัน สั่งให้ระงับการก่อสร้าง แต่ตรวจสอบไปมาหลายปี ก็ไม่พบหลักฐานการทุจริตใด ๆ จนกระทั่ง 2 ปีที่แล้ว ใกล้จะครบวาระการดำรงตำแหน่งผู้ว่าการกรุงไทเปและอยากลงแข่งขันเลือกตั้งประธานาธิบดี หากทิ้งปัญหานี้ไว้ ก็จะไม่เป็นผลดีตามที่มีคนด่าว่าเป็นคนถ่วงการก่อสร้างและความเจริญของกรุงไทเป เคอเหวินเจ๋อจึงอนุญาตให้ผู้รับสัมปทานก่อสร้างต่อไป แต่เนื่องจากมีความสัมพันธ์ไม่ดีกับรัฐบาลกลาง กระทรวงมหาดไทย ไม่ยอมผ่านการตรวจความปลอดภัยและไม่ออกใบอนุญาตใช้สิ่งก่อสร้าง จนกระทั่งนายเจี่ยงว่านอัน ชนะการเลือกตั้งเป็นผู้ว่าการกรุงไทเปคนใหญ่ ก่อสร้างและปรับปรุง ขณะเดียวกันหาทางเจรจาและแก้ปัญหาทั้งหมดเป็นเวลาปีเศษ กระทรวงมหาดไทยจึงอนุญาตให้ใช้งานได้ หลังชาวไทเปที่ขับรถหรือเดินผ่านใกล้สนามกีฬาแห่งนี้ ต่างก็บ่นว่าไทเปโดมถูกดองไว้เป็นเวลา 8 ปี และยังเป็นการถ่วงความเจริญกรุงไทเปถึง 8 ปีด้วย

    ชาวไต้หวัน 13,000 คน เข้าชมการแข่งขันเบสบอลในไทเปโดม (Taipei Dome) เพื่อคัดเลือกนักกีฬาเบสบอลเข้าร่วมทีมชาติไต้หวันที่จะไปแข่งขันในรายการเบสบอลชิงแชมป์โลกรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี (ภาพจาก udn.com)

              นี่ก็เป็นที่มาของไทเปโดม หรือที่ชาวไต้หวันนิยมเรียกตามรูปทรวงภายนอกว่าไข่ยักษ์ (大巨蛋 อ่านว่า ต้าจวี้ตั้น) แม้จะใช้เวลาในการฟักไข่นานถึง 32 ปี ในที่สุดก็เปิดให้บริการได้แล้ว คาดว่า จะนำความเจริญมาสู่ย่านซิ่นอี้ ซึ่งอยู่ใกล้ไทเป 101 ที่ระยะหลังซบเซาลงไป กลับมารุ่งเรืองก้าวหน้าอีกครั้ง ใครมีโอกาสไปแถว ไทเป 101 อย่าลืมแวะไปชมไข่ยักษ์ใบนี้ได้ เดินไปประมาณ 1 กม.

    ไทเปโดม สนามกีฬาในร่มอเนกประสงค์ขนาดยักษ์จุผู้ชมได้ 40,000 คน อยู่ข้าง ๆ อนุสรณ์สถาน ดร. ซุนยัตเซน

    3. คนไต้หวันทุก 2 คนมี 1 คนที่อ้วน เทียบกับญี่ปุ่น ไต้หวันมีคนอ้วนมากกว่า 10 เท่า

           ชาวไต้หวันนิยมออกกำลังกาย โดยเฉพาะหลังสถานการณ์โควิด-19 สัดส่วนที่คนไต้หวันออกกำลังกายสูงถึง 81.8% แต่ที่น่าแปลกใจคือ คนอ้วนในไต้หวันกลับสูงกว่าชาวญี่ปุ่นที่ออกกำลังกายน้อยกว่าถึง 10 เท่า

    คนไต้หวันทุก 2 คนมี 1 คนที่อ้วน ไต้หวันมีคนอ้วนมากกว่าญี่ปุ่น  10 เท่า (ภาพจาก healthspan.com.tw)

          ข้อมูลของกรมสุขภาพแห่งชาติพบว่าระหว่างปี 2559 ถึง 2,562 ชาวไต้หวันที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐานหรืออ้วนมีสัดส่วนสูงถึง 47.9% ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้นเป็น 50.3% ในปี 2563 ซึ่งก็หมายความว่าคนไต้หวัน 2 คนมี 1 คนที่เป็นโรคอ้วน ครูฝึกประจำฟิตเนส เปิดเผยว่าคนไต้หวันส่วนใหญ่ทำงานหนัก มีแรงกดดันสูง พวกเขาใช้วิธีการคลายความเครียดและลดแรงกดดันด้วยการกินดื่มและไม่ค่อยยอมใช้เวลาไปกับการออกกำลังกาย สิ่งที่ช่วยให้พวกเขาคิดว่าช่วยคลายความเครียดจากการทำงานได้ดีที่สุดคือการกินอาหารที่ตัวเองชื่นชอบ  

    คนวัยทำงานในไต้หวันส่วนใหญ่เชื่อว่า วิธีคลายความเครียดที่ดีที่สุดคือ การกินอาหารและดื่มเครื่องดื่มที่ตนชื่นชอบ (ภาพจากblog.icook.tw) 

          หากเทียบกับประเทศอื่นในภูมิภาคเอเชีย อาทิเกาหลีใต้ คนหนุ่มสาวที่มีน้ำหนักเกินมาตรฐานแบ่งเป็นชาย 31.1% หญิง 16.2% ขณะที่ชาวเวียดนามที่อ้วนมีเพียง 13% ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีคนอ้วนน้อยที่สุดเพียง 4% ในขณะที่ไต้หวันสูงถึง 45.4%  จากข้อมูลระบุว่าคนไต้หวันที่อ้วนมีมากกว่าญี่ปุ่น 10 เท่า ทั้ง ๆ ที่ชอบออกกำลังกาย โดยเฉพาะหลังสถานการณ์โควิด-19 สัดส่วนที่คนไต้หวันออกกำลังกายสูงถึง 81.8% แพทย์ได้กล่าวถึงข้อมูลประเทศที่ไม่ชอบออกกำลังกายมากที่สุดในโลก อ้างอิงจากนิตยสารการแพทย์ฉบับหนึ่งกลับระบุว่า สัดส่วนผู้ที่ไม่ชอบออกกำลังกายในญี่ปุ่นสูงถึง 60% ติดอันดับที่ 11 ของโลก ในขณะที่คนอเมริกันชอบออกกำลังกายแต่พบว่าคนอเมริกันที่เป็นโรคอ้วนมีมากกว่าคนญี่ปุ่น ดังนั้น นิสัยการชอบออกกำลังกายกับโรคอ้วนไม่ได้มีนัยสัมพันธ์ทางสถิติแต่อย่างใด

    ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีคนอ้วนน้อยที่สุดเพียง 4% ในขณะที่ไต้หวัน 50.1% มากกว่าญี่ปุ่น 10 เท่า (ภาพจากfood.ltn.com.tw)

    เชิญร่วมตอบแบบสำรวจความคิดเห็นจากการรับฟัง Rti Podcast ลุ้นรับของรางวัลพิเศษ! กรอกแบบสอบถามได้ที่ :https://2023appsurvey.rti.org.tw/th

  • เชิญร่วมตอบแบบสำรวจความคิดเห็นจากการรับฟัง Rti Podcast ลุ้นรับของรางวัลพิเศษ! กรอกแบบสอบถามได้ที่ :https://2023appsurvey.rti.org.tw/th

    1. จัดมาเสื้อกันหนาว 2 ชั้น! ช่วงเช้าและกลางคืนหนาวจัด พื้นที่ราบโล่งภาคเหนืออุณหภูมิ 7-10°c ลมหนาวลูกใหม่จะมาเยือนศุกร์หน้า

              ช่วงนี้ลมหนาวจากทิศเหนือของจีนแผ่นดินใหญ่พัดลงมาปกคลุมเกาะไต้หวันเป็นระลอก ลูกใหม่ล่าสุดเป็นลมหนาวกำลังแรงระดับหนาวจัด อุณหภูมิต่ำกว่า 10°c พัดมาจากภาคเหนือของจีนแผ่นดินใหญ่ลงมาปกคลุมไต้หวันตั้งแต่วันศุกร์ที่ 17 พ.ย. 66 ทำให้พื้นที่ชายฝั่งทะเลด้านตะวันตก ซึ่งเป็นพื้นที่อยู่อาศัยของชาวไต้หวันส่วนใหญ่ รวมถึงพื้นที่ราบโล่ง อุณหภูมิในคืนวันศุกร์และช่วงเช้าวันเสาร์ที่ 18 พ.ย. ต่ำกว่า 10°c หนาวสุดที่จีหลง 7.7°c เหมียวลี่ 7.9°c เถาหยวน 8.4°c กรุงไทเป 12.5°c ตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 19 พ.ย. เป็นต้นไป ช่วงกลางวันอบอุ่นขึ้น แต่กลางคืนและเช้าอากาศยังคงหนาวจัด และลมหนาวลูกใหม่จะมาเยือนในวันศุกร์หน้า

    ช่วงเช้าวันเสาร์ที่ 18 พ.ย. ภาคเหนืออากาศหนาวจัด หลายพื้นที่อุณหภูมิต่ำกว่า 10°c หนาวสุดที่จีหลง 7.7°c เหมียวลี่ 7.9°c เถาหยวน 8.4°c กรุงไทเป 12.5°c (ภาพจาก CWA)

              จึงเตือนให้รับมืออากาศหนาวจัดที่มาเป็นระลอก ด้วยการสวมใส่เสื้อกันหนาวหนา หรือ 2 ชั้นขึ้นไป ป้องกันร่างกายปรับตัวไม่ทันทำให้เกิดอาการไม่สบาย

    2. รู้ไหม? ชาวไต้หวันใช้น้ำประปามากเป็นอันดับ 2 ของโลก มากกว่าญี่ปุ่น 5 เท่า

                ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาไต้หวันเผชิญกับสภาพการณ์ขาดแคลนน้ำรุนแรงมากขึ้นเป็นลำดับ สาเหตุส่วนหนึ่งมาจาก การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลกกอปรกับสภาพภูมิประเทศของไต้หวันที่ทำให้อ่างเก็บน้ำในไต้หวันสามารถเก็บกักน้ำฝนที่ตกลงมาได้เพียงแค่ 18% เท่านั้น แม้ว่าไต้หวันมีปริมาณฝนเฉลี่ยทั่วประเทศสูงถึง 2,515 มิลลิเมตร/ปี สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก 3 เท่าก็ตาม ส่งผลให้ทุกปีในช่วง เม.ย.-พ.ค. ต้องเผชิญภาวะขาดแคลนน้ำ หลายพื้นที่ทางภาคใต้ต้องใช้มาตรการจำกัดการใช้น้ำ สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติของไต้หวันเปิดเผยว่า แหล่งน้ำในไต้หวันถูกนำไปใช้ในด้านการเกษตร 70% ภาคครัวเรือน 20% และภาคอุตสาหกรรม 10%

    ไต้หวันมีปริมาณฝนเฉลี่ยทั่วประเทศสูงถึง 2,515 มิลลิเมตร/ปี สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก 3 เท่า แต่เก็บกักน้ำไว้ใช้ได้แค่ 18% (ภาพจาก Chinatimes)

                 ข้อมูลของสมาคมน้ำนานาชาติ  (International Water Association : IWA) ซึ่งเป็นองค์กรที่รวบรวมผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำชั้นนำรวมตัวกันเพื่อแบ่งปันความรู้ และการพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ เพื่อความยั่งยืนของโลกระบุว่า จากการสำรวจการใช้น้ำภาคครัวเรือนใน 198 เมือง 39 ประเทศ ในปี 2561 พบว่า ครัวเรือนไต้หวันใช้น้ำประปาเฉลี่ยปีละ 326 ยูนิต/ครัวเรือน ติดอันดับ 2 ของโลก มากกว่า กรุงโตเกียวของญี่ปุ่น 5 เท่า โดยอันดับที่ 1คือกรุงบัวโนสไอเรส เมืองหลวงของอาร์เจนตินาปีละ 336 ยูนิต/ครัวเรือน

    ทุกปีในช่วงเดือนเม.ย.-พ.ค. ไต้หวันจะเผชิญภาวะขาดแคลนน้ำ หลายพื้นที่ทางภาคใต้ต้องใช้มาตรการจำกัดการใช้น้ำ

                      สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติวิเคราะห์ว่า ชาวไต้หวันใช้น้ำประปาอย่างฟุ่มเฟือยเพราะราคาน้ำประปาในไต้หวันถูกเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากอินเดียและศรีลังกา และไม่มีการปรับขึ้นราคาน้ำประปามาเป็นเวลาเกือบ 30 ปีแล้ว โดยมีการปรับราคาน้ำประปาครั้งสุดท้ายเมื่อเดือนกรกฎาคม 2537 ปัจจุบันราคาน้ำประปาไต้หวัน เก็บในอัตราก้าวหน้าแบ่งเป็น 4 ขั้น ได้แก่

                   ต่ำกว่า 10 ยูนิต ยูนิตละ7.35 เหรียญ

                    10 -30 ยูนิต ยูนิตละ 9.45 เหรียญ

                    30-50 ยูนิต ยูนิตละ11.55 เหรียญ

                    51 ยูนิตขึ้นไป ยูนิตละ 12.075 เหรียญ

         

    ราคาน้ำประปาในไต้หวันถูกเป็นอันดับ 3 ของโลก รองจากอินเดียและศรีลังกา ส่งผลให้ชาวไต้หวันใช้น้ำประปาอย่างฟุ่มเฟือย

               ด้วยเหตุนี้เองไต้หวันจึงเผชิญกับภาวะขาดแคลนน้ำทุกปี โดยเฉพาะในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม รัฐบาลพยายามหาทางแก้ไขโดยการสร้างโรงงานผลิตน้ำจืดจากน้ำทะเล ปัจจุบันมี 25 แห่งอยู่ที่เกาะเผิงหู 21 แห่งอีก 4 แห่งอยู่บนเกาะไต้หวัน แต่ปริมาณการผลิตยังมีเพียงเล็กน้อยคือ ส่วนใหญ่ผลิตได้เพียงวันละประมาณ 5,000 ตัน แต่ต้องใช้ไฟฟ้าในการผลิตในปริมาณมาก ทำให้ต้นทุนสูง จึงยังไม่มีการก่อสร้างเพิ่มเติม เมื่อผลิตน้ำจืดได้ไม่มาก จึงต้องหันไปใช้แนวทางการประหยัดน้ำแทน โดยนอกจากรณรงค์ให้ประชาชนช่วยกันประหยัดน้ำและหาทางปรับขึ้นราคาน้ำประปาเพื่อเป็นการบังคับให้คนใช้น้ำน้อยลง แล้วยังพยายามส่งเสริมให้มีภาคอุตสาหกรรมรีไซเคิลน้ำ ซึ่งปัจจุบันเริ่มได้รับการขานรับจากโรงงานอุตสาหกรรมจำนวนไม่น้อย

    3. เห็นด้วยไหม? นักโทษขอใช้สิทธิ์เลือกตั้งในเรือนจำ แต่คณะกรรมการการเลือกตั้งคัดค้าน อ้างเกรงนักโทษจะไม่มีอิสระในการเลือกตั้งอย่างแท้จริง

              10 ผู้ต้องขังในเรือนจำทั่วไต้หวัน เรียกร้องขอใช้สิทธิ์ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งในเรือนจำ ซึ่งจะจัดการเลือกตั้งระดับประเทศ ได้แก่เลือกตั้งประธานาธิบดี รองประธานาธิบดีและสภานิติบัญญัติในวันเสาร์ที่ 13 มกราคม 2567 ศาลปกครองชั้นสูงไทเปตัดสินเมื่อวันที่ 12 พ.ย. เห็นด้วยที่จะให้ผู้ต้องขังใช้สิทธิ์ในเรือนจำได้ และสั่งให้คณะกรรมการการเลือกตั้งเถาหยวน จัดหน่วยเลือกตั้งและเตรียมมาตรการที่เหมาะสมในเรือนจำไทเป ซึ่งตั้งอยู่ในเขตกุยซาน นครเถาหยวน แต่คณะกรรมการการเลือกตั้งนครเถาหยวนคัดค้านการตัดสินดังกล่าวและมีการอุทธรณ์ว่า ไม่สามารถจัดหน่วยเลือกตั้งในเรือนจำสำหรับผู้ต้องขังจำนวนน้อยเป็นการเฉพาะ นอกจากเกรงไม่มีอิสระในการเลือกตั้งอย่างแท้จริงแล้ว กฎหมายการเลือกตั้งไม่มีการกำหนดต้องจัดหน่วยเลือกตั้งในเรือนจำ และไม่เป็นธรรมต่อกลุ่มอื่น ๆ อาทิ ทหารที่อยู่เวรและผู้ป่วยในโรงพยาบาล ซึ่งไม่สามารถจัดหน่วยเลือกตั้งให้ได้เช่นเดียวกัน

    เรือนจำไทเป แต่ตั้งอยู่ในเขตกุยซาน นครเถาหยวน

              ทั้งนี้ ศาลปกครองสูงสุดไต่สวนคดีอุทธรณ์ผู้ต้องขังมีสิทธิ์ในการมีส่วนร่วมทางการเมืองขั้นพื้นฐานผ่านการเลือกตั้งในเรือนจำได้หรือไม่เมื่อวันที่ 14 พ.ย. และได้ตัดสินชี้ขาดเมื่อเย็นวันที่ 16 พ.ย. ที่ผ่านมา ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งชนะคดี ยกเลิกคำพิพากษาเดิมของศาลปกครองชั้นสูงไทเป ไม่ต้องจัดหน่วยเลือกตั้งในเรือนจำ

              จากตัวเลขของกรมคุมประพฤติ ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดกระทรวงยุติธรรม มีหน้าที่ในการบริหารดูแลเรือนจำทั่วไต้หวัน ปัจจุบัน มีผู้ต้องขัง 50,898 คน อย่างไรก็ตาม ตามกฎหมายการเลือกตั้งของไต้หวัน ผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง จะต้องมีชื่อในทะเบียนบ้านในเขตพื้นที่ตั้งหน่วยเลือกตั้งติดต่อกัน 4 เดือนขึ้นไป และกฎระเบียบในการบริหารผู้ต้องขังของเรือนจำฉบับแก้ไขเมื่อปี 2556 ไม่บังคับผู้ต้องขังจะต้องย้ายทะเบียนบ้านมาอยู่ยังเรือนจำขณะเข้ารับโทษ ทำให้ผู้ต้องขังทั่วไต้หวันที่มีทะเบียนบ้านอยู่ในเรือนจำเพียงแค่ 1,000 คนเศษ ผู้ต้องขังเหล่านี้ บางคนย้ายโดยความสมัครใจ บางคนเดิมอาจเช่าบ้านอยู่ หลังต้องคดีถูกตัดสินจำคุก เจ้าของบ้านเช่าขอให้ย้ายทะเบียนบ้านออกไป จึงต้องย้ายมาอยู่ทะเบียนบ้านในเรือนจำ ศาลปกครองสูงสุดคาดตัดสินให้คณะกรรมการการเลือกตั้งชนะคดี ยกเลิกคำพิพากษาเดิมของศาลปกครองชั้นสูงไทเป ไม่ต้องจัดหน่วยเลือกตั้งในเรือนจำ

    ผู้ต้องขังในเรือนจำไทเป ขณะฝึกซ้อมการเต้นเพื่อร่วมแข่งขันกิจกรรมนันทนาการของเรือนจำ (ภาพจาก FB เรือนจำไทเป)

              พูดถึงเรื่องนี้ จากการตรวจสอบข้อมูลการเลือกตั้งของไทย นักโทษหรือผู้ต้องขังในประเทศไทย ซึ่งมีประมาณ 260,000 คนเศษยังไม่ได้รับสิทธิ์การเลือกตั้งในเรือนจำเช่นกัน และนักการเมืองส่วนใหญ่จะไม่กล่าวถึงคนกลุ่มนี้เลย อาจเห็นว่าพวกเขาไม่ใช่ฐานคะแนนเสียงก็ได้

    เรือนจำไทเป จัดกิจกรรมเยี่ยมญาติผู้ต้องขังในเรือนจำไทเป เมื่อวันไหว้พระจันทร์ปีนี้ (ภาพจาก FB เรือนจำไทเป)

    เชิญร่วมตอบแบบสำรวจความคิดเห็นจากการรับฟัง Rti Podcast ลุ้นรับของรางวัลพิเศษ! กรอกแบบสอบถามได้ที่ :https://2023appsurvey.rti.org.tw/th