Avsnitt

  • สร้างทางให้คนเดิน มิอาจสู้สร้างทางเดินของจิต บางครั้งใจของเรา มันมีทั้ง ขาวและดำ อย่าให้ฝ่ายดำมากกว่าฝ่ายขาว จะเดินทางผิด “คิดผิด พูดผิด ทำผิด”

    ถ้าใจเราเป็นสีขาว มันจะ “คิดถูก พูดถูก ทำถูก” มีเมตตา ปราณีกับทุกคน ใจจะคิดดีกับทุกคน ไม่ว่าเค้าจะเป็นใคร จะดีหรือไม่ดีก็เมตตา เมตตาเพราะใจเราดีนะล่ะ จิตเราจะมั่นคง อยู่ในความเมตตาและความดีเสมอ

    สิ่งที่เข้ามาทดสอบ ก็คือเครื่องวัดใจของเรา ใจเราดีได้แค่ไหน มันก็เป็นเพียงสมมติมาทดสอบใจเท่านั้น สอบตกไม่เป็นไร ตั้งใจแก้ไขใหม่ สักวันหนึ่งก็คงสอบได้ “อย่าพ่ายแพ้ใจที่ไม่ดีของตนเองอีกต่อไป”

    การให้อภัย การมีน้ำใจอันงดงาม มันดีกว่าการมีใจอันคับแคบ ใจที่แล้งน้ำใจ เหมือนบัวแล้งน้ำ บัวแล้งน้ำคือบัวไม่มีวันโต ใจที่แล้งน้ำใจก็ตาย ตายจากความดี จงมีน้ำใจเสมอ ไม่ว่าโลกใบนี้จะเป็นยังไง ไม่ว่าใครจะเป็นยังไง เครื่องล่อของจิตมากมาย เป็นกับดัก ให้เราหลงทางกับสมมติโลกนั้นล่ะ

    ถ้าเราเมตตาลูกเรา เราก็ต้องเมตตาคนอื่นเหมือนลูกของเรา ถ้าเราเมตตาครอบครัวเรา เราก็ต้องเมตตาครอบครัว เรามีแต่เมตตาให้อภัย มีน้ำใจเสมอ คนที่ไม่คิดร้ายใครใจสบายตลอด คนที่คิดคนโน้นไม่ดี คนนี้ไม่ดี ใจก็ทุกข์ตลอดนั่นล่ะ เมื่อเราคิดได้จงหมั่นเพียรละความไม่ดีในใจเสมอ

    …แม้มันยากก็ต้องทำ…

  • ตื่นเช้ามาให้เราสังเกตจิตใจของเรา
    เป็นกุศลหรืออกุศล
    บางคนก็ยังง่วงอยู่
    นิวรณ์ ถีนมิทธะครอบงำอยู่
    มีสติตลอดเวลา มีความรู้ตื่น
    เมื่อเรารู้ตื่นนะ
    บางครั้งเราก็จะสังเกตเห็นกุศลและอกุศลของจิต
    ยามมีกุศลเราก็สบาย ยามมันเป็นอกุศลบางทีก็อึดอัด ก็ลำบากใจ
    ไม่อยากให้เป็นแต่ทำไม่ได้
    ก็เรียนรู้ศึกษาในความทุกข์หรือความเป็นอกุศลของจิตนั่น
    แล้วเราจะเข้าใจ ว่าทำไมเราต้องฝึกจิตเสมอ
    งั้นจิตเราก็จะทุกข์อยู่เรื่อยไปนั่นล่ะ
    งั้นคนที่หลับเนี่ย ขั้นแรกก็ไม่ผ่านแล้วนะ ผู้รู้ไม่มีอ่ะ ผู้ตื่นก็ไม่มา
    มีแต่ผู้หลับตลอดเวลา แล้วธรรมะมันจะเกิดได้อย่างไร
    เหตุแห่งการบรรลุธรรมไม่มีขณะที่หลับนะ มีแต่ขณะที่ตื่น ตื่นรู้
    ที่นี่เมื่อฝึกไปเรื่อยๆ ทั้งกุศลและอกุศล
    เราเริ่มยอมรับได้ ความทุกข์ที่เกิดขึ้น
    เราก็อยู่ได้ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป

    "ความสุขที่แท้จริงมันอยู่ที่ใจ ไม่ได้อยู่ที่วัตถุภายนอก"

    ปลาที่มันไปกินเหยื่อแล้วโดนจับนั่นแหละ
    มนุษย์ทั้งหลายที่มันต้องเกิดก็เหมือนปลาไปกิน
    ปลาหมอตายเพราะปากอย่างนั้นล่ะ
    ทีนี้พอเราตื่นรู้เราไม่หลงแล้ว เอ๊ะ มันไม่กินเบ็ดแล้วนะ ปลามันฉลาดนะ
    มันจะเอาเหยื่อล่ออร่อยยังไงก็ไม่กินแล้ว มันก็ว่ายไปหากินที่มันปลอดภัยไม่มีเบ็ดนั่นล่ะ นี่คือพยายามพูดให้เข้าใจง่ายๆนะ ไอ้ตัวล่อที่เกิดน่ะ
    คือสมมติโลกใบนี้
    ดังนั้น สติปัฏฐานสี่ เห็นกายในกาย เห็นเวทนาในเวทนา เห็นจิตในจิต เห็นธรรมในธรรม พึงทำลายความยินดียินร้ายในโลกใบนี้ ทำลายยินดี ยินร้าย คือตัวหลงสมมติ สมมติให้ดี ให้ชอบ สมมติให้เกลียด สมมติให้ชัง ยินดียินร้าย ถ้าเราไม่มีอารมณ์เหล่านี้ ใจมันไม่แสวงหา

    "ปลามันไม่กินเบ็ดแล้ว"

  • Saknas det avsnitt?

    Klicka här för att uppdatera flödet manuellt.

  • เพราะมีตัวเรานั่นล่ะ
    จึงมีสมมุติอีกมากมาย เมื่อไม่มีเราก็ไม่มีอะไร
    ดูก่อนพาหิยะ "เมื่อเธอไม่มี" พระพุทธเจ้าสอนพระพาหิยะ
    เมื่อใดเธอไม่มีพาหิยะ
    - ตาสักแต่เห็น หูสักแต่ได้ยิน ลิ้นสักแต่รู้รส กายสักแต่สัมผัส จมูกสักแต่ดมกลิ่น จิตสักแต่รู้อารมณ์ ความคิด -
    เมื่อเธอไม่ปรุงแต่งสิ่งใดๆ
    เมื่อนั้นเธอจะไม่มีพาหิยะ เมื่อเธอไม่มี
    โลกนี้ก็ไม่มี โลกหน้าก็ไม่มี ในระหว่างโลกทั้งสอง ก็ไม่มี
    เมื่อนั้นเธอจะพ้นทุกข์พาหิยะ

    จบประโยคที่พระองค์ทรงสอน
    ที่เธอทุกข์ทั้งหลาย ทุกข์เพราะความมีนั่นล่ะ
    ทำให้ดีที่สุดในแต่ละวัน

    - พระอาจารย์กิตติเชษฐ์ สิริวฑฺฒโก -

  • ให้สังเกตใจของเรา ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เรียกว่าทำใจได้ มันก็ไม่ทุกข์นะ แต่ถ้าเราทำใจไม่ได้ก็ทุกข์ บางทีเราตั้งความหวังไว้อย่างนึง ผลมันออกมาไม่ได้อย่างที่หวัง มันก็เสียใจ ท้อใจ เราเอาจิตไปยึดมั่นถือมั่นในบางสิ่งบางอย่างเกินไป แม้กับความสำเร็จหรือความไม่สำเร็จ ความสมหวังหรือความไม่สมหวัง ให้เป็นกลางให้ได้นะ ทำใจของเรา ทุกคนก็ชอบความสมหวังทั้งนั้น ไม่มีใครชอบความผิดหวัง ในเมื่อมันผิดหวังแล้วเราทำใจไม่ทุกข์ได้มั้ยล่ะ บางคนสมมติว่าทางโลก ซื้อลอตเตอรี่ ซื้อหวยอะไรต่างๆ พอถูกกินก็แห้งเหี่ยว ใจเหี่ยว ทำธุรกิจการค้าก็หวังกำไร แต่ทำไปๆ มันไม่ได้ดั่งหวังก็ทุกข์ใจอีก มันก็เกิดความทุกข์ ความไม่สมหวัง ความปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์ ความคับแค้นใจก็เป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รักที่พอใจก็เป็นทุกข์ ความเศร้าโศกพิไรรำพันก็เป็นทุกข์ อยู่ดีๆ ใจมันเศร้าขึ้นมา หมองขึ้นมา ตรงนี้เราพยายามฝึกให้จิตใจของเราเป็นปกติให้ได้ ปล่อยวางได้ มันก็จะเริ่มเข้าใจว่าที่เราทุกข์ไปเพราะเราไปหลงยึดมัน ยึดทุกสิ่งแม้กระทั่งความสำเร็จหรือความสมหวัง เราก็ไปหลงยึดมัน เราลืมไปว่าบางอย่างมันก็อาจจะไม่สำเร็จก็ได้ ในท่ามกลางความทุกข์ที่มันเกิดขึ้นซึ่งคนปกติจะทนอยู่ได้ยาก บางทีก็ต้องร้องไห้คร่ำครวญ หรือเศร้าเสียใจไปหลายวัน บางทีเป็นอาทิตย์ เป็นเดือน บางคนก็เป็นปี บางคนก็หลายปี เกือบจะไม่อยากอยู่ในโลกใบนี้แล้ว เข้ามาปฏิบัติธรรมก็เริ่มทำใจได้
    เมื่อก่อนมันไม่ได้เลยนะ พอผิดหวังปั๊บบางคนก็โมโห บางคนก็โทษคนนั้นคนนี้ บางคนก็หมดเรี่ยวแรงไปเลย ก็ต้องรู้จักความผิดหวังบ้าง ความไม่สมหวังบ้าง ให้ใจมันเป็นเรื่องปกติ ต่อไปเราก็จะไม่ทุกข์กับอะไร กิเลสความมีตัวตนของเราก็น้อยลงไปเรื่อยๆ คลายความยึดมั่น ต่อสรรพสิ่งทั้งหลาย ปลง ปล่อยวางลง มันไม่มีอะไรจะทำให้ทุกข์ได้อีกแล้ว เรื่องราวทั้งหลายมันก็มองเป็นเรื่องปกติ เหมือนเรือเวลาเค้าจอด เค้าทอดสมอเรือไว้ เวลาจะไป เค้าก็ดึงสมอขึ้นมา มันก็ไม่มีอะไรมารั้งไว้ได้ ก็เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร รู้ เข้าใจ เมตตา ปล่อยวางทั้งหมด เข้าใจทุกสิ่ง วางทุกสิ่งลงได้

  • ทำใจให้ได้กับความผิดหวัง

    เราตั้งใจไว้ คาดหวังอะไรไว้ มันไม่ได้ดั่งใจ เราก็ต้องทำใจให้ได้
    บางทีสิ่งที่เราคิดไว้ว่าดี มันอาจจะไม่ดีนะ สิ่งที่ได้มันอาจจะดีกว่า ก็เป็นธรรมะ “สอนใจ”

    ความยึดมั่น หรือความปรุงแต่ง.. มันเป็น ทุกข์ ไงล่ะ และการขาด “สติ” ไม่อยู่กับปัจจุบัน

    เกิดมาเป็นมนุษย์ มันคิดอดีต คิดอนาคต มันไม่สงบ

    ถ้าเราทำใจได้ กำลังสอนเรื่องทำใจให้ได้กับทุกเรื่องอยู่นะ แค่ไหนก็แค่นั้นน่ะ มีความรู้สึกว่า ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ก็ถือว่า เราก็ทำดีที่สุดกันแล้วแต่การที่เราได้แล้วเราสมหวังไปเรื่อยๆ เนี่ย เดี๋ยวมันผิดหวังแล้วมันจะเจ็บ เจ็บเพราะยอมรับไม่ได้ ไม่ใช่ว่า อะไรมันต้องได้ดั่งใจเรา เราต้อง “ทำใจ” ให้ได้กับทุกเรื่อง ทั้งดี และไม่ดี เวลาดีก็อย่าไปหลงมัน... เพราะมัน “ไม่เที่ยง” อะไรมันก็ “ไม่เที่ยง” นะ ถ้าเราทุกข์ เราก็จะกังวลไป ปรุงแต่งไปเรื่อย ถ้ามันไม่ได้จริงๆก็ช่างมัน มันก็ไม่ทุกข์ไง

    ถ้าเราไปยึดว่า ทำไมอย่างนั้นอย่างนี้ เราก็นอนไม่หลับ เสียเงินอีกแล้ว คิดมากอีก นอนไม่หลับอีก "เดี๋ยวอนิจจังก็เกิดขึ้น มันเปลี่ยนได้ เดี๋ยวมันก็เปลี่ยนได้อีก ขอให้ใจเราดี" หรือไม่เราก็หาวิธีแก้ได้

    เอาไม่เป็นไร.. สรุปว่า "อย่าไปคิดอะไรมาก คิดมากเวลาตายแล้วไปไหนมันไม่ดี ไม่คิดเลยสบายกว่า" เดี๋ยวมันก็มีทางที่ดีเอง เดี๋ยวมีทาง ที่ชอบๆ เอง ทำใจให้ชอบแล้วกัน ทำใจให้ชอบก็คือเป็นปกติ ตอนนี้ทำใจอย่างนี้ พระอาจารย์ว่า อยู่กับโลกใบนี้นะ จะอะไรต้องได้...อะไรให้สมหวังไปหมด ไม่ยอมรับกฎพระไตรลักษณ์
    อนิจจัง ทุกขขัง อนัตตา

    มันอยู่ในกฎพระไตรลักษณ์ทั้งนั้น แต่บางครั้งเราอธิษฐานอะไรก็ได้มา ตามเหตุปัจจัยสมควรได้ แต่ถ้ามันยังไม่สมควรได้ เราก็ทำใจเรา "ทำใจให้ได้กับทุกเรื่อง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่ทุกข์" และไม่จำเป็นจะต้องไปคร่ำครวญ ไม่ต้องไปเพ้อรำพันอะไรอีก จบแล้วแค่นี้ "จบที่ใจเรา"

  • ให้เราสังเกตจิตที่มีเมตตากับจิตที่เมตตาน้อย มันต่างกันอย่างไร ความเมตตาทำให้เราอดทนต่อผู้อื่นได้มากมาย แต่ถ้าขาดเมตตาก็ไม่อยากยุ่งกับใคร เริ่มจากมีตัวตนแล้วค่อยๆ ละตัวตน จนไม่มีตัวตน มองเห็นความทุกข์ของผู้อื่นมากกว่าทุกข์ของตัวเอง แล้วก็มีความปรารถนาจะช่วยเหลือดับทุกข์ให้ผู้อื่น เมื่อตัวเราไม่มี ทุกข์เราก็ไม่มี จึงไม่จำเป็นต้องมาดับทุกข์ให้เรา งั้นผู้ที่มีเมตตามากๆ ปรารถนาจะดับทุกข์ให้ผู้อื่นเสมอนั่น ไม่จำเป็นต้องไปเถียงกับใคร ไม่จำเป็นต้องไปแข่งดีกับใคร แล้วมันก็เจริญมุทิตาจิตได้ง่าย ไม่มีอิจฉา ไม่มีริษยา ไม่มีความเปรียบเทียบกับใคร เปรียบเทียบว่าเราเสมอเค้า เราสูงกว่าเค้า เค้าสูงกว่าเรา คนที่ชอบเปรียบเทียบกับคนอื่นน่ะ ความทุกข์จึงเกิดขึ้น การเป็นผู้ให้คิดให้เสมอ ไม่คิดเอาอะไรจากใคร ใจจึงเป็นสุขและบริสุทธิ์นะ เพียงเราฝึกตัวเองได้เช่นนี้ ความทุกข์มันไม่มีนะ สังเกตสิ เหมือนเวลาเรามอง ถ้าเรามองใกล้ๆ แค่นี้ เราก็มองไกลไม่เห็น แต่ถ้าเรามองไปไกลๆ มันก็มองข้ามสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว นั่นคือมองข้ามตัวตนเราไปซะ เรามองผู้อื่นด้วยใจบริสุทธิ์และเมตตา การมีจิตใจที่เมตตาและเสียสละ กิเลสก็น้อยลงไปทุกวันทุกขณะ เราก็ไม่ได้ต้องการอะไรอีกต่อไปนะ ลาภ ยศ สรรเสริญ วิธีง่ายๆ อย่ามีตัวตน เมื่อมีเมตตา อารมณ์เหล่านี้ก็จะเกิดขึ้น ความเสียสละ ความละอัตตาตัวตน ชีวิตที่อยู่ก็มีคุณค่า ยิ้มได้กับทุกสิ่ง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นนั้นล่ะ

  • ขอเจริญพรคุณโยมทั้งหลายที่กำลังรับชมรับฟังธรรมะอยู่ในในขณะนี้นะ เวลาฟังธรรมมะ ใจของเราก็คงเบาบางจาก ปัญหาและความทุกข์ลงได้บ้าง พระพุทธเจ้าสอนเราให้เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม ในปัจจุบันเป็นผลจากอดีตที่เราทำมาปัจจุบันก็จะไปสู่อนาคตในวันข้างหน้า พระองค์จึงสอนให้เราละชั่ว ทำดี ทำใจให้ผ่องแผ้วบริสุทธิ์อยู่เสมอเจริญเมตตาเป็นนิสัยให้อภัยอยู่เสมอ ไม่เกาะเกี่ยวเก็บสิ่งไม่ดีของใครหรือกรรมบาปของใครมาไว้ในใจของเรา เราควรเกาะเกี่ยวเก็บเรื่องดีดีของทุกคนไว้ในใจของเรา ให้จิตใจของเราเป็นกุศล คิดดีพูดดีทำดีสู่ดี

    ทุกอย่างจะเป็นไปตามความคิดในใจเรา ศัตรูที่ร้ายกาจคือใจของเราเอง พร้อมที่จะทำผิดได้ทุกที่ทุกเวลา ถ้าทุกคนเข้าใจก็จะแก้ไขจิตใจของเรา ให้ดีงามและงดงามอยู่เสมอ หลายท่านที่ฟังอยู่ตอนนี้ก็คงมีปัญหากันไม่มากก็น้อย ขอให้ใจของเรามีธรรมมะ อย่าเศร้าหมอง อย่าท้อแท้ ยอมรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่โทษใคร ให้อภัย อยู่กับทุกคนด้วยความเป็นสุขที่ใจเรา ใจที่ยิ้มได้ใบหน้าก็ยิ้มได้ ถ้าใจที่แห้งแล้ง ใบหน้าก็แห้งแล้ง จงยิ้มในใจอยู่เสมอ ไม่ว่าชีวิตของเราจะเป็นอย่างไร ในปัจจุบันนี้ บางคนก็ดี บางคนก็ไม่ค่อยดี กำลังต่อสู้ที่ใจ กำลังท้อแท้อยู่ ก็ขอให้จำไว้ว่าสักวันแล้วมันก็ผ่านไปนะ ขอให้ใจของเรานั้นอดทนให้ได้ ผ่านให้ได้ ในแต่ละวินาที นาทีชั่วโมง แต่ละวัน สุดท้ายไม่มีอะไรอยู่ได้นาน ทุกอย่างก็จะจบ ใจของเราก็ผ่านพ้นได้ จิตที่ฝึกดีแล้วย่อมนำสุขมาให้ เมื่ออยู่กับทุกข์ได้โดยไม่ทุกข์ อยู่กับทุกข์แล้วทุกข์ก็ดับไปต่อหน้าต่อตาเรา นิโรธความพ้นทุกข์ได้เกิดขึ้นในอริยสัจสี่ ความ มันไม่มีอะไรจะทุกข์แล้วเพราะมันถึงที่สุดแห่งทุกข์แล้ว ทุกข์กลายเป็นไม่ทุกข์ไปแล้วนั่นล่ะ อยู่กับทุกข์ให้ได้ เมื่อทุกข์ผ่านไปอยู่ ได้ใจสบายก็ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคนทุกท่าน ความทุกข์ไม่ได้อยู่นาน ที่อยู่นานเพราะใจเรายึดทุกขอ ความทุกข์สามารถเปลี่ยนเป็นความสุขได้ แม้ความสุขนั้นไม่ได้ดับไป เพียงเราเข้าใจแล้วอยู่กับทุกข์ ยอมรับทุกขอใจก็เป็นสุขแล้ว ทุกข์ไม่ได้ดับแต่เข้าใจทุกข์อยู่กับทุกข์ใจก็เป็นสุขแล้วนะ ขออนุโมทนาบุญทุกท่านที่ได้ตั้งใจฟังธรรมในวันนี้ ขอความสุขความสวัสดีความมีมงคล ความสมบูรณ์พูนผลทำทรัพย์ภายนอกทรัพย์ภายใน โภคทรัพย์และอริยทรัพย์จงมีแต่ทุกท่านด้วยเทอญ

  • ขอเจริญพรคุณโยมทั้งหลายที่กำลังรับชมรับฟังธรรมะอยู่ในในขณะนี้นะ คนที่มีความทุกข์มากๆจิตจะไม่ค่อยเบิกบาน ดังนั้นเราต้องมีสติ ค่อยๆแก้ไขอารมณ์จิตของเรา พอมันเศร้าหมองมากๆ มันก็อยู่ไม่เป็นสุข อยู่แบบชีวิตนี้มันไม่กระตือรือร้น จิตใจของเรามันห่อเหี่ยวลงไป ต้องหาวิธีจะให้จิตของเราเบิกบานขึ้นมา ลองดูจิตของเราซิ เป็นยังไงมันเป็นกุศลหรืออกุศล มันมีความสุขหรือความทุกข์ เราต้องรู้ตลอดของเรา คือเรารู้ของเรานะ แก้ไขของเรา หากเราไม่ฝึกจิตไว้ให้ดีนะ ยามมีปัญหาหรือมีอุปสรรคในชีวิต จะดูเป็นเรื่องใหญ่โต แล้วก็เกิดความท้อแท้ ไม่อยากได้อยากดีอะไร หรือมันเหนื่อยล้าเกินไป ที่จะก้าวเดิน สำคัญคือกำลังใจ กำลังใจที่ต้องฝึกฝนขึ้นมา ยิ้มยอมรับทุกสิ่ง แล้วก็เมตตาทุกสิ่ง เข้าใจทุกสิ่ง ทุกคน ให้อภัย แม้คนที่ไม่เข้าใจเรา หรือคนที่คิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำไม่ดีกับเรา เราก็อภัยให้ได้เสมอ แม้เผลอไปบ้างก็ไม่เป็นไรนะ ก็รีบกลับมาให้ไว

    ก็ขอให้กำลังใจทุกคน ทุกคนก็มีความสำคัญทุกคน อย่างน้อยเราก็รู้จักผ่อนทุกข์ให้ผู้อื่นด้วยความเมตตาและสงสาร มีแต่ความปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ ดังนั้นที่เราเป็นทุกข์กันอยู่ ยังมีผู้ที่เป็นทุกข์มากกว่าเราอีกมากมาย ดังนั้นความทุกข์ของเรา บางทีถ้าเทียบกับคนอื่นก็ไม่ได้มากอะไรนะ บางทีเราก็โชคดีแล้วที่เรายังมีชีวิตอยู่กัน ยังมีบ้านให้อยู่ ยังมีอาหารให้กิน ก็ให้เรามองความเป็นจริงของชีวิต แท้จริงเราเกิดมาเพื่ออะไร แล้วเราต้องการอะไร

    พระพุทธเจ้าทรงสอนเราว่า ความเกิดแก่เจ็บตายนั้นเป็นทุกข์ ไม่ทราบว่าเราเข้าใจกันหรือยัง เกิด แก่ เจ็บ ตาย นั้นเป็นทุกข์ แม้ความสมหวังในทางโลกทั้งหลาย การมีเงินทอง มีชื่อเสียง เกียรติยศ ลาภ ยศ สรรเสริญ อะไรก็ตามมันก็ไม่ใช่ความสุขที่แท้จริงนะ มันเป็นของมาชั่วคราว แล้วความสุขที่แท้จริงคืออะไรล่ะ เราต้องหาความสุขที่แท้จริงในจิตใจของเรา คือความสงบเย็นและเมตตาเสมอ ฝึกจิตของเราให้ยอมรับกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ไม่ใช่ต้องได้ทุกสิ่งที่ตัวเองอยากได้ แล้วเวลามันไม่ได้ล่ะ ถ้าได้มาแล้วมันไม่เป็นดั่งที่คิดล่ะ เราก็ยิ่งเจ็บปวดนะ ยังไงก็พยายามรักษาจิต เจริญเมตตา พุทธานุสติ ก็คือคิดถึง ระลึกถึงพระพุทธเจ้าอยู่เสมอเราจะไม่เดียวดายนะ

  • ขอเจริญพร คุณโยมทั้งหลาย ที่กำลังรับชม รับฟังธรรมะ อยู่ในขณะนี้นะ ให้สังเกตจิตใจของเรา จิตเมื่อเรามีสติ ความระลึกได้ รู้ทัน สิ่งที่มากระทบภายนอก ตาเห็นรูป หูได้ยินเสียง จมูกรู้กลิ่น ลิ้นรู้รส กายสัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็ง จิตคิดนึกอารมณ์ใดที่เกิดขึ้น เมื่อเรารู้ทัน เราจะไม่ปรุงแต่ง ไม่หวั่นไหวตาม ใจของเราก็คงสงบ เหมือนตอนนี้คนหลายคนอยู่ในห้องเดียวกันเนี่ย

    ถ้าทุกคนสงบ ก็จะเงียบ ความเงียบเราได้ยินเสียงความเงียบด้วยนะ มัน วิ้ง วิ้ง วิ้ง วิ้ง แต่ถ้าคนใดคนหนึ่งพูด หรือฟุ้งซ่าน ความสงบมันก็จะถูกทำลายลงไป

    ความรู้สึกที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของเรา เยอะแยะมากมาย เช่นฟุ้งซ่าน เศร้าหมอง บางทีก็มีความโกรธ มีความไม่พอใจ บางก็มีความอิจฉา มีความน้อยใจ เพียงแต่เราไม่ดูให้ชัดน่ะ มันเยอะจนจับไม่ทัน แต่บางคนก็ไม่เคยจับ ก็ทุกข์ทีนี้ พอกิเลสมันเยอะเข้า เยอะเข้า จัดการไม่ได้ ต้นเหตุแห่งความทุกข์ก็คือเจ้าตัณหาเนี่ยแหละ ตัณหา ๓ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา มันเป็นเหตุให้เราเกิดความทุกข์ กามตัณหา ก็คือ ติดในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส กามคุณ ๕ ภวตัณหา อยากมี อยากเป็น อยากได้ ในสิ่งที่ตัวเองชอบน่ะ วิภวตัณหาไม่อยากมี ไม่อยากเป็น ไม่อยากได้ ไม่อยากรับเข้ามา สิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ เหมือนอาหารเหมือนกัน อาหารนี้เราชอบ เราก็อยากกินอันนี้เราไม่ชอบเราก็ไม่อยากกิน เราไม่ชอบคนนี้เลย ไม่อยากเจอหน้า ไม่อยากคุย แต่เราชอบอีกคน เจอคนนี้เรารู้สึกถูกใจเราก็อยากคุยด้วย นี่คือเราจะเข้าไปเห็น เข้าไปรู้สึกในอารมณ์ สภาวธรรม ที่มันเกิดขึ้นภายในจิตใจของเรา ทีนี้เมื่อเรารู้ทัน เราดับได้ ปล่อยวางมันได้ เราก็จะไม่ทุกข์แล้วนะทีนี้ เพราะต้นเหตุเพราะเราเนี่ย หาเหตุมันไม่เจอน่ะล่ะ พวกนี้บางทีก็ยังไม่รู้ว่าการตามใจตัวเองมันเป็นทุกข์อย่างยิ่งนะ มันไปเพิ่มกิเลสให้มันมีกำลังขึ้นมา เราต้องรู้จักคำว่าผิดหวังบ้าง ให้ผิดหวังกับสมหวังมันเสมอกัน บางทีมันจะให้อะไรมันได้ดังใจเราทุกเรื่องเนี่ย มันไม่ได้หรอกนะโลกใบนี้ บางทีมันก็ต้องมี คิดแล้วมันก็ไม่ได้อย่างที่เราคิด เราก็มีหน้าที่ทำใจให้ได้ทุกเรื่องแล้วกัน ที่มันเกิดขึ้นมาในจิตใจและเหตุการณ์ทั้งหลาย แต่ทรมานนะ ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์ เราอย่าตามใจตัวเองเกินไป วันข้างหน้าจิตมันจะอ่อนแอ อะไรกระทบแล้วมันก็จะรับมือไม่ไหวนะ พอสมควรแก่เวลานะ ขอให้มีความสุข สมหวังในสิ่งที่ดีทั้งทางโลกและทางธรรมจนถึงพระนิพพานทุกท่านทุกดวงจิตด้วยเทอญ

  • เจริญพรคุณโยมที่กำลังรับฟังรับชม การที่เราอยู่ต่างแดนเนี่ย บางครั้งเนี่ยมันไกลบ้าน บางทีก็เหงา บางทีก็ต้องเจอปัญหาเจออุปสรรคเยอะ ถ้าเราฝึกสติได้ รู้จัก รู้ทันความคิดอารมณ์ของเราพยายามไม่ให้อกุศลจิตมันเกิดขึ้น ถ้าให้ง่ายเราก็มีเมตตาต่อทุกคน

    ความเมตตาเนี่ยเราจะ คิดดีพูดดีทำดี จิตใจของเราก็อ่อนโยนนุ่มนวลด้วย มันเป็นธรรมดานะในชีวิต เดี๋ยวมันก็มีอะไรกระทบบ้าง สมหวังผิดหวัง ก็เป็นเรื่องปกติ เวลาสมหวังก็อย่าประมาท เวลาผิดหวังก็อย่าพึ่งท้อแท้ ก็พยายามเดินหน้า บางอย่างเนี่ย บางที เอ้ทำไมเขา บางคนไม่เข้าใจเรา เราก็ลองฝึกว่า เออเขาไม่เข้าใจเราก็ไม่เป็นไร แต่ขอให้เราเข้าใจทุกคนเมตตาทุกคน ใจของเรามันก็คงไม่ทุกข์ไม่ลำบากเกินไป

    พยายามไม่ทำให้ใครทุกข์กับเรานั่นหละ จะคิดพูดทำสิ่งใดมันเนี่ยเขาเรียกสำรวมระวังในทุกๆ เรื่อง อะไรที่เกิดขึ้นแล้วเรารู้สึกเราทำใจได้ มันก็สบายใจนะ เหมือนเราอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับ ไม่เครียดหนะ บางทีมัน มันไม่ได้ดั่งใจเรา เราก็อย่าไปทุกข์ใจกับมัน เข้าใจทุกคน ทำใจให้ได้ทุกเรื่อง เหมือนเราทำธุรกิจหนะ เอวันนี้ทำไมลูกค้าน้อย ก็เป็นธรรมดานะ มันมีมากมีน้อยก็ดูตามจังหวะ อยู่ที่ไหนก็ทำใจให้ได้ให้มันมีความสุขทุกที่อะนะ มองทุกคนด้วยความเมตตาและบริสุทธิ์ เราจะมองเห็นแต่ความดีของทุกคน แม้กระทั่งเรามองเห็นสิ่งไม่ดีเราก็ไม่จำเป็นต้องเอาเก็บเข้ามาหรือมองให้เกิดความรู้สึกที่ไม่ดีในใจกับเรา จิตใจของเราก็บริสุทธิ์ แล้วก็มีความสุข มันจะเบา อ่อนโยนนุ่มนวล เวลามีปัญหาอะไรเนี่ย มันจะแก้ไขด้วยความประนีประนอม ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจผู้อื่น มันก็เหมือนเรามองโลกในแง่ดี คิดบวก พอคิดบวก จิตใจของเราก็เป็นกุศล ก็เปิดบัญชีบุญ ความดีหรือกรรมดีที่เราเคยทำมานะ มันก็จะส่งผลให้ จะ ทำอะไรก็ประสบความสำเร็จ ทั้งทางโลกและทางธรรม บางทีเราก็มีเมตตาจิต ใครมามีความทุกข์มาขอให้เราช่วยเหลืออะไรต่างๆ บางครั้งมันเหนื่อยบางครั้งเรากำลังยุ่ง บางทีเราก็หงุดหงิด แล้วก็ไม่อยากจะช่วยบางที ปัดๆเรื่องไป แต่ถ้าจิตใจอ่อนโยนเนี่ย จะมองความทุกข์ของผู้อื่นเป็นสิ่งสำคัญ ก็พยายามที่จะช่วยเหลือแบ่งเบาความทุกข์เขานั่นหล่ะ พอสมควรแก่เวลานะ ขอให้มีความสุขสมหวังในสิ่งที่ดีทั้งทางโลกทั้งทางธรรมจนถึงพระนิพาน ทุกท่านทุกดวงจิตด้วยเทอญ

  • ขอเจริญพร ผู้ที่รับชมรับฟังรายการธรรมะอยู่ในขณะนี้ ขอให้มีความสุข มีสติปัญญา มีเมตตา รู้ทันทุกสิ่งที่เข้ามาในจิตใจ ที่มากระทบทวารทั้ง ๖ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของเรา แม้อยู่ในที่ที่มีปัญหา แต่ก็ขอให้ปัญญา แก้ไขได้ มีกำลังใจ มีสติ ความทุกข์ที่มีอยู่ก็สามารถรับมือไหว แล้วก็เปลี่ยนเป็นความสุขได้ รู้ เข้าใจ เมตตา ปล่อยวาง อย่ายึดมั่นถือมั่นอะไรมากเกินไป โดยเฉพาะสิ่งสมมติทั้งหลายในโลกใบนี้ มันไม่มีอะไรเป็นของเราที่แท้จริงเลย ถึงเวลาก็ต้องจากโลกไป ตามกฎแห่งกรรม เราก็ต้องเวียนว่ายตายเกิด ก็ไม่รู้จะเป็นอะไรด้วยขึ้นกับบุญและบาปที่เราทำ สติปัญญาที่เราสร้าง ธรรมะที่เรามี ให้มีเมตตา สงเคราะห์ผู้อื่นบ้างตามสมควร ผู้มีเมตตาจิตใจก็จะมีความสุข จิตอ่อนโยน นุ่มนวลเสมอ ไม่แข็งกระด้าง อัตตาหรือความหลงตนเองก็จะน้อยลง เมตตามากๆ ประกอบด้วยปัญญา และสติ ก็สามารถเป็นเมตตาเจโตวิมุตติ หลุดพ้นหรือบรรลุธรรมได้ด้วยเมตตาเป็นบาทฐาน กิเลสหรืออกุศลจิตทั้งหลาย สิ่งไม่ดีก็เข้ายาก เข้ามาก็แก้ไขง่าย ชีวิตก็จะมีแต่ความสุขเปิดบัญชีบุญไว้ตลอด บุญก็คือความสำเร็จ ความสมหวัง แต่หากจิตเราเป็นอกุศล ก็เปิดบัญชีบาป บาปคือความผิดหวัง ความ ทุกข์ คนมีปัญญาก็จะเปิดบัญชีบุญเสมอนะ ธรรมะหรือวิชาที่สอนให้ก็คือ สติปัฏฐาน ๔ จิตตานุสปัสสนา รู้จิตเสมอ รักษาจิตให้ได้ พรหมวิหาร๔ เมตตา รักษาความเมตตา เป็นบาทฐาน พุทธานุสติกรรมฐาน คิดถึง ระลึกถึง ซาบซึ้งพระพุทธเจ้าอยู่เสมอ ขอให้มีความสุข สมหวังในสิ่งที่ดีผ่านพ้นอุปสรรคปัญหาให้ได้ทุกคน ทุกดวงจิต ให้คิดว่าเรามีธรรมะเป็นที่พึ่งในใจ มีพระรัตนตรัย คุณแห่งพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระอริยสงฆ์เจ้า
    ขอความสุข สวัสดี ความมีมงคล ความสมบูรณ์พูนผล และความสมหวังในสิ่งที่ดี จงมีแด่ทุกท่าน และขอให้มีเมตตา ช่วยนำพาผู้อื่นมีธรรมะด้วยเทอญ

  • ขอเจริญพร ผู้ที่รับชม รับฟังรายการธรรมะอยู่ขณะนี้ ในวันนี้ฝนก็ตกลงมาเยอะนะ ความเย็นก็เกิดขึ้นในสถานที่ กระแสเมตตาก็เหมือน สายฝน ไปที่ไหน ก็มอบความเย็น ความชุ่มฉ่ำ ให้ ต้นไม้ ได้งดงาม ให้แผ่นดินได้อุดมสมบูรณ์ ธรรมะ ก็เช่นเดียวกัน คุณโยม คุณโยมมีเมตตา มีธรรมะอยู่ในใจ สติปัญญา จิตก็มีความสุข มีสิ่งใดที่เป็นทุกข์หรือเป็น ปัญหา ผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา เราก็จะแก้ไขได้ไม่ต้องทุกข์ทรมานเหมือนเมื่อก่อน เมื่อฝนตกฟ้าหลังฝนก็งดงาม ท้องฟ้าก็สดชื่น ต้นไม้ใบหญ้าก็เขียวขจี จิตที่ฝึกไว้ดีแล้วก็เป็นเช่นนั้น ก็มีความสุข มีความสงบเย็นเสมอ
    หวังว่าทุกคนคงจะมีความสุข และมีสติขึ้นมา ในช่วงนี้เป็นเวลาที่อาจจะทุกข์หรือลำบากมากกว่าเดิม สิ่งสำคัญต้องมีสติ ให้อยู่กับความทุกข์และปัญหาให้ได้ อย่างน้อยก็เป็น กำลังใจ เป็นกัลยาณมิตรที่ดีให้แก่กัน ผลบุญ ผลความดีที่ทุกคนได้ทำ และมอบให้กันก็สามารถมอบให้กับผู้ที่มีความทุกข์ทั้งหลายก้าวผ่านสภาวะทุกข์นั้นไปได้โดยไม่ยากเกินไป มองคนที่มีความทุกข์มากกว่าเราและสงสารเขา และเราก็จะลืมความทุกข์ของเราไป
    ความเมตตา ที่เกิดขึ้นก็จะทำให้เราละความมีตัวตน ตัวกูของกู ความเมตตาจะทำให้ กิเลส ความทุกข์ของเราน้อยลงไป อย่าหวังหา แสวงหาความสุขให้แก่ตน ให้มีเมตตา ถ้ามีความทุกข์หรือความ ไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ลองคิดถึง พระพุทธเจ้า พระอริยะเจ้าทั้งหลาย กระแสบุญจะทำให้จิตของเรานั้นเกิดความ สงบ ร่มเย็น เป็นสุข
    สำหรับวันนี้ก็ ขอความสุขสวัสดี ความมีมงคล ความสมบูรณ์พูนผล สิ่งที่ดีงาม ทั้งทรัพย์ภายในภายนอกจงมีแด่ทุกท่าน ผู้ใดที่มีความทุกข์ก็ขอให้พ้นทุกข์ มีความสุขก็ขอให้สุขยิ่งๆขึ้นไปใน พระธรรม น้อมนำจิตตนสู่พระนิพพาน ทุกท่าน ทุกดวงจิตด้วยเทอญ

  • พอเรามีสติ รักษาจิตได้ดี เป็นกุศลอยู่เสมอ อ่านใจออก บอกใจได้ ใจถามใจ ใจตอบใจได้เสมอ จิตสะอาด ก็คิดถึงระลึกถึงความดีงามของผู้ประเสริฐทั้งหลาย พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ ด้วยความเคารพ เลื่อมใส สิโรราบในความดีงาม ความเมตตา และ ความบริสุทธิ์ ของทุกๆพระองค์ อัตตาตัวตน ความเย่อหยิ่งจองหองพองขนของเราก็จะไม่มี มีความรู้สึกเสมอดินกับทุกคน ไม่ว่าจะรวยจะจน จะขาวจะดำ เกิดตระกูลสูงตระกูลต่ำก็เท่ากัน หนึ่ง ลมหายใจ สิ้น ลมหายใจ เท่ากันหมด ให้อนุโมทนาบุญ กับทุกคนที่ทำความดีนะ ไม่ว่าผล ทาน ศีล ภาวนา รู้จัก ไม่รู้จัก ก็อนุโมทนาบุญหมด ใครทำความดีอะไร แต่เราไม่อนุโมทนาบาปกับใครนะ ใครทำบาปก็เรื่องของเขา แนะนำห้ามปรามได้ก็ดี ถ้าไม่ได้ก็อุเบกขาไว้ เมตตาไว้ ฟ้าหลังฝนงดงาม บางครั้งในสิ่งที่เราเผชิญอยู่มันดูหนัก สาหัส แต่ทุกอย่างก็มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป ขอให้ใจเรานั้น สงบ ไม่หวั่นไหว หรือทุกข์ทรมานตามไป ใช้วิธีอนุโมทนาบุญกับผู้มีบุญทั้งหลายก็ได้ เช่นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอริยเจ้าก็ดี มองไปตรงไหนเห็นความดีของใคร เราก็นึกอนุโมทนาบุญ ใจเราก็เป็นสุข แต่อย่าไปอนุโมทนาบาป ใครทำสิ่งไม่ดี พูดไม่ดี อย่าไปยินดีกับเขา เอาหละก็ขอให้กำลังใจทุกคน ขอให้มีความสุข มีสตินะ ศรัทธา มีศรัทธาในการทำความดี เจออุปสรรคก็อย่าท้อถอยนะ สติปัญญาก็เป็นตัวกลั่นกรองจิตของเรา ไม่ให้อกุศลเกิด มันเป็นการ เปลี่ยนชีวิต ไปเลย จากทางมืดเข้ามาสู่ทางสว่าง ก็เข้าถึงธรรมะ ก็ให้ทุกคนพยายาม มีสติ ฝึกฝน รักษาจิต ตัวเองให้ดีนะ ตนเองเป็นที่พึ่งแห่งตนบ้าง ถ้าเราจะมีบาปอะไรจะเข้า คือกรรมบาป เราต้องมีกรรมบุญหรือบุญที่ใหญ่กว่า รองรับไว้นะ ไม่เช่นนั้นเราจะสู้ไม่ไหว จิตใจของเราอาจจะ เศร้าหมองท้อแท้ บางทีก็ไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้เลย ก็ขอให้ทุกคนเจริญสติ เมตตา ปัญญาไว้เสมอ

  • ให้ใจของเรามี พระพุทธเจ้า อยู่เสมอ ให้คิดถึง ระลึกถึง ซาบซึ้งพระพุทธเจ้าอยู่ในใจ โดยเริ่มจากการรักษาจิตของเราให้สะอาด มีสติ
    ให้จิตของเราเป็นเครื่องรับที่ดี จิตตานุปัสสนา ธรรมานุปัสสนา เมื่อเราทำเช่นนนี้ จิตของเราก็สะอาด สงบ รักษาจิตได้ จริงๆ ก็เพียงพอที่จะ เป็นที่พึ่งให้ตนเองและเป็นที่พึ่งให้ผู้อื่น ขั้นต่อไปเจริญเมตตา มีความปรารถนาที่จะคิดสงเคราะห์ผู้อื่นบ้าง ยิ่งในสมัยนี้ คนมีทุกข์เยอะนะ ไม่มีข้าวกิน ไม่มีงานทำ บางคนก็ไม่มีที่อยู่อาศัย บางคนก็ป่วยติดเชื้อไวรัสจึงน่าสงสารมาก ผู้ที่ไม่ปล่อยมือจากพระพุทธเจ้า จึงไม่หลงทาง และจะปลอดภัยในที่ทุกสถานในกาลทุกเมื่อ ก็หวังว่าทุกคนคงมีความสุข อย่าท้อแท้ อย่าวิตกกังวลเกินไป รักษาจิตให้ดีไว้ เปิดบัญชีบุญของเราตลอดเวลาแล้วทุกอย่างจะดีเอง ในท่ามกลางกระแสกรรมของโลก ในมวลมนุษย์ทั้งหลาย หากเรามีบัญชีบุญ เราก็จะรู้สึกไม่ลำบากเกินไป
    บางครั้งคนอื่นเขาเดือดร้อน เราอาจจะไม่เดือดร้อนเลย นี้คือสิ่งที่เราฝึก ให้เรามีเมตตา จงมองความทุกข์ของผู้อื่นด้วยความเข้าใจ เมตตาสงเคราะห์ได้ยิ่งดี ตามกำลังที่เราไม่เดือดร้อน จงเป็นผู้ให้ ให้จิตคิดให้เสมอ อย่าเห็นแก่ตัวและไม่ต้องกลัวลำบาก
    ผู้ให้จะมีความสุข สุขที่ใจและก็สุขที่กายตามมา เอาละ พอสมควรเวลาแก่พระอาจารย์
    ขอความสุขสวัสดี ความมีมงคล ความสมบูรณ์พูนผล ในทรัพย์ภายในทรัพย์ภายนอก จงมีแด่ทุกท่านด้วยเทอญ

  • ขอเจริญพร คุณโยมทั้งหลาย ทุกคนเกิดมาล้วนมีทุกข์ ไม่ว่าจะรวยหรือจน คนชาติใด ศาสนาใด ช่วงนี้ก็มีทุกข์เหมือนกันทุกคน ดังนั้นเราควรมีจิตใจที่เมตตา มีความปรารถนาให้ทุกคนนั้นได้พ้นทุกข์ และเราต้องมีสติ ในการดูแลรักษาจิตใจของเรา อย่าให้เศร้าหมองและเป็นอกุศล โดยเฉพาะคนที่เคยฝึกจิตไว้ดีแล้ว ที่พระอาจารย์ไปสอนวิปัสสนากรรมฐาน สติปัฏฐาน ๔ ก็คงพอจะดูแลเยียวยารักษาจิตใจได้ อย่าประมาท จิตเป็นสิ่งสำคัญ เมื่อผ่านมาก็สอนเรื่อง การรักษาจิต เจริญเมตตา พุทธานุสติกรรมฐาน คิดถึง ซาบซึ้งพระพุทธเจ้า อาราธนาบารมี พระพุทธองค์และ อธิษฐานเอา ปรารถนาสิ่งใดเป็นสิ่งที่ดีทั้งทางโลกและทางธรรม จะได้นำทางชีวิตของเราไปสู่เส้นทางอันดีงาม และประสบความสำเร็จในสิ่งนั้น อย่าเพิ่งท้อแท้ ทุกสิ่งทุกอย่าง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และก็ดับไป ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ทุกอย่างมันก็จบ แล้วก็ผ่านไป อย่าลืม ความคิดถึง ระลึกถึงพระพุทธองค์เสมอ ไม่ว่าเราจะทำอะไร สิ่งดีๆ ก็จะเกิดขึ้นกับเรา บุคคลจะข้ามห้วงน้ำได้ด้วยศรัทธา ข้ามมหาสมุทรได้ด้วยความไม่ประมาท นั่นคือมีสติอยู่เสมอ จะสำเร็จได้ด้วยความเพียร และบริสุทธิ์ได้ด้วยปัญญา ปัญญาที่รู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรมของโลกใบนี้ของชีวิตนี้ ก็คือรู้จิตใจตัวเอง เห็นความไม่เที่ยงของสิ่งที่ดีและไม่ดี อย่ายึดมั่นถือมั่น โลกใบนี้ไม่มีอะไร รู้ เข้าใจ เมตตา ปล่อยวางเสมอ ถ้าไม่ได้ก็นึกถึงธรรมะที่พระองค์สอนไว้ให้เป็นที่พึ่งทางใจแก่เรา อย่าลืมแผ่เมตตาอุทิศบุญกุศล และทุกอย่างก็จะดีขึ้นที่จิตใจของเราดีก่อน และ เหตุการณ์ภายนอกก็จะดีตาม แต่ถ้าใจเรายังมีความทุกข์อยู่หรือมันผ่านพ้นไปได้ ผ่านพ้นไปได้ยาก ก็ต้องรู้จักทำใจ อยู่กับมันให้ได้ อยู่กับทุกข์ให้เป็นสุข บางครั้งก็ปลอบใจตัวเอง ช่างมันบ้าง มันก็เป็นอย่างนี้แหละ มันก็เป็นธรรมดา ขอให้มีความสุข สมหวังในสิ่งที่ดี ผ่านพ้นอุปสรรคปัญหา ให้ได้ทุกคน ทุกดวงจิต ให้คิดว่า เรามีธรรมะ เป็นที่พึ่งในใจ มีพระรัตนตรัย มีคุณแห่งพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระอริยสงฆ์เจ้า

    ขอความสุขสวัสดี ความมีมงคล ความสมบูรณ์พูลผล และความสมหวังในสิ่งที่ดี จงมีแด่ทุกท่าน และขอให้มีเมตตาช่วยนำพาผู้อื่นให้มีธรรมะด้วยเทอญ

  • ขอให้ทุกคนได้มีสติ อยู่กับตนเองมากๆ ในแต่ละวัน อยู่กับ ปัจจุบันขณะ พยายาม รักษา จิตใจของเราให้ดี ไม่ฟุ้งซ่านจนเกินไป ไม่เป็นอกุศล สวดมนต์บ้างก็ดีนะ สวดมนต์ ถ้าเป็นไปได้ก็พยายาม หายใจเข้า ก็ รู้ หายใจออก ก็รู้ อานาปานสติ หายใจเข้า พุท หายใจออก โธ ก็ได้ หรือเรา ถ้าเรา ถนัด พองหนอ ยุบหนอ ก็หายใจเข้า ท้องพอง ก็พองหนอ หายใจออก ท้องยุบ ก็ ยุบหนอ เราต้อง ภาวนา ของเราไว้ เป็นเครื่อง ให้จิตนั้นเป็นผู้มีสติอยู่เสมอนั้น หละ เจริญ เมตตา เป็นนิสัย มองทุกคนด้วยความเข้าใจและเมตตา ไม่เบียดเบียนใคร ไม่คิดร้าย ไม่ว่าใคร ทำใจของเราให้สงบ เย็นและเมตตาอยู่ ไม่ว่าเหตุการณ์ทั้งหลายจะเป็นอย่างไง รู้ เข้าใจ เมตตา ปล่อยวาง จิตของเราก็จะว่าง เย็นสบายนะ ความทุกข์ก็จะไม่มีแล้วตอนนี้ กิเลสก็จะไม่มี ไม่โวยวาย ไม่เป็นอกุศลกับใครนั่นหละ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของทางโลกหรือทาง ธรรมก็ตาม แม้กระทั่งคนที่มีความป่วยร่างกาย หรือมีความทุกข์ใจอย่างไร ก็ใช้ได้หมด ก็ลองทำดูนะ ฝึกไว้บ่อยๆนะ ฝึก
    ให้เป็นนิสัย จะทำอะไรเรามีสติ รักษาจิตได้ คนที่เคยฝึกกับพระอาจารย์มาแล้วก็ไม่น่าห่วง หลายคนก็อยู่กับทุกข์ได้ อยู่กับ ปัญหาได้ ไม่ลำบากเกินไป เอาหละ สำหรับ พระอาจารย์ก็คงจะได้มาสนทนาธรรมกันเพียงแค่นี้ ขอความสุข สวัสดี ความมีมงคล ความสมบูรณ์พูนผล ทั้งทรัพย์ภายในและทรัพย์ภายนอก จงมีแด่ทุกท่านด้วยเทอญ

  • อย่าอ่อนแอ จำไว้อย่าอ่อนแอ คนอ่อนแอจะช่วยใครไม่ได้แม้กระทั่งตัวเอง ต้องเข้มแข็ง อดทน มองความทุกข์ของผู้อื่นสำคัญกว่าความทุกข์ของตนเอง ไม่จำเป็นต้องดับทุกข์ตนหรอก มองความทุกข์ ของผู้อื่น ช่วยดับทุกข์ ของผู้อื่นไว้ ทุกข์เราก็ไม่มี สุดท้ายก็ไม่มีอะไร มีแต่ความเมตตา มีแต่ ความบริสุทธิ์ และ ปรารถนาดี อย่าอ่อนแอ ไม่มีเวลาอ่อนแอแล้ว ไม่ต้องให้ใครมาช่วยเรา จำไว้
    เราต่างหากที่ต้องช่วยผู้อื่น ไม่ต้องให้ใครมาช่วยเรา เราต่างหากที่เป็นผู้ช่วยผู้อื่น เราไม่อ่อนแออีกต่อไป ถ้าเราต้องการที่พึ่งก็คือพระรัตนตรัย เป็นที่พึ่ง เป็นสรณะ อย่าคิดพึ่งใคร อย่าให้ใครต้องมาช่วยเรา เราต่างหากที่เป็นผู้ช่วยผู้อื่นให้พ้นทุกข์ จะไม่อ่อนแออีกต่อไป จะไม่หวาดกลัว หวั่นไหว ต่อสิ่งใดอีกต่อไป ไม่ต้องคิดถึงอนาคตอะไรมากมาย ไม่ต้องคิดถึงความร่ำรวย อยู่ไม่เป็นหนี้ใคร ก็เป็นสุขแล้วล่ะ อยู่แบบไม่ทุกข์อีกต่อไป อย่าต้องการอะไรในโลกใบนี้อีกต่อไปนะ
    ความทุกข์เป็นครูสอนเรา ความทุกข์ไม่ใช่เครื่องมือทำร้ายจิตใจเรา ให้เราอ่อนแอ จำไว้ ความทุกข์คืออาจารย์ มิใช่เครื่องมือทำร้ายจิตใจให้อ่อนแอ ต้องขอบคุณความทุกข์
    ถ้าไม่ทุกข์ จะเข็ดมั้ยล่ะ ไม่เข็ดหรอก เมื่อเราไม่ทุกข์ เราจะเมตตาคนที่ทุกข์มั้ย เราก็จะไม่เข้าใจ เมื่อเห็นคนทุกข์ เราจะเข้าใจทันที และเราก็จะสงสาร และเราก็ปรารถนาจะช่วยให้เค้าพ้นทุกข์ จงจำไว้ แล้วเราก็จะไม่ทุกข์อีกต่อไป และจะขอบคุณความทุกข์ที่เป็นมิตรแท้ของเรา ความทุกข์คือมิตรแท้ มิใช่ความสบายหรอก

  • เมื่อเราฝึกจิตไว้ดี เราจะรู้ตัวเองตลอดเวลานะ ไม่ว่าเราจะทำอะไร ความคิดอารมณ์ที่มันเกิดขึ้น หรือแม้แต่ภายนอกที่กระทบเข้ามา เราจะรู้ทันอยู่กับมันอยู่กับความทุกข์ให้จิตมันปกติ ก็คืออยู่กับทุกข์โดยไม่ทุกข์น่ะ

    ก็ปฏิบัติไปเรื่อยๆ ความทุกข์มันน้อยลง หรือความทุกข์น่ะมันมี แต่มันไม่มีอิทธิพลต่อจิตใจเหมือนเมื่อก่อน พระพุทธเจ้าก็สอนอริยสัจสี่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค จิตเมื่อฝึกได้ถูกทาง กิเลสความทุกข์ก็น้อยลงสิ่งไม่ดีในจิตใจของเรานิสัยไม่ดีน่ะก็หายไปด้วย ก็สังเกตมันไม่ค่อยทุกข์อะไรนะ อย่างเช่นเมื่อก่อนคนว่าเรานิดหน่อยมันก็เก็บมาคิด เช่นว่าเยอะๆก็ไม่ได้เก็บมาคิดแล้ว เพราะเราเริ่มฝึกไม่มีตัวเราน่ะ เมื่อก่อนเราอยากได้โน่นได้นี่เยอะแยะ พอเรามีปัญญานะ เอามาทำไมเนี่ย เอามาให้ทุกข์นะ ไม่ใช่ขี้เกียจทำงานนะ ขยันนะ แต่มันไม่ได้มีความอยากเหมือนเมื่อก่อน มันรู้ว่าอะไรคือความสุขที่แท้จริง พบความสุขบนความไม่มีนะ มันก็อยู่กับตัวเอง การเล่นโทรศัพท์มือถือ ถ้าเราเอามาใช้ประโยชน์ ติดต่อทำงาน ติดต่ออะไรเนี่ย บางทีก็เป็นสื่อการสอน ฟังเทศน์อะไร มันเป็นประโยชน์ ไม่เป็นโทษ อยู่ที่เรานะจะเลือกเส้นทางไหน

  • ถ้าเปรียบเทียบในทวารทั้ง 5 จมูกของเราก็ได้กลิ่น ร่างกายเราสัมผัสแอร์เย็น มองเห็นรูป จิตก็รู้ว่าเห็น แต่ไม่ใส่ใจว่าเป็นอะไร ก็สักแต่เห็น ตาเราไม่ได้มืดบอดเหมือนเมื่อก่อน ก็เข้าหลักสูตรของท่านพาหิยะนั่นล่ะ เมื่อเธอไม่มี ไม่มีอะไรอีกต่อไป บางคนยังมีตัวตนเยอะ ยังมีตัวกู ของกู ห่วงอนาคต ห่วงทรัพย์สมบัติ ห่วงชื่อเสียงเกียรติยศ เพราะคำว่ามี มันจึงทุกข์ และคำว่ากลัวไม่มี กลัวจน กลัวลำบาก ก็เลยทุกข์ แท้จริงพระพุทธเจ้าก็สอนอยู่บนความไม่มีอยู่แล้ว จะมีหรือไม่มีก็ไม่เป็นปัญหาแล้วล่ะ เพราะสุดท้ายมันก็ไม่มีอะไรอยู่แล้ว อยู่ที่ว่าเราหลงกับมันรึเปล่าเท่านั้น ถ้าเราไม่มีตัวตน เราก็ไม่หลง ชีวิตแค่นี้เพียงพอรึยัง
    มีที่นอน มีที่กิน อยู่ในที่ปลอดภัย เพียงพอรึยัง มีความสุขที่ใจมั้ย ต้องการอะไรอีกมั้ย
    คิดได้แค่นี้ก็จะไม่หลงทุกข์ จะได้ไม่ไปหลงไปยึดมั่น

    เมื่อเธอเข้าถึงแก่นแล้ว เธอจะเข้าใจ ละตัวกู ของกูให้หมดสิ้นไปซะ อย่ามัวห่วงตัวกู ของกู ทุกข์ตลอดนั่นล่ะ
    ที่ทุกข์เพราะตัวกู ของกูนั่นล่ะ มันเลยกังวลไอ้ตัวกู ของกู พอมันไม่มีตัวกู ของกู มันก็ไม่รู้จะกังวลอะไรแล้ว อยู่กับปัจจุบัน อย่างมีสติสมบูรณ์ ทำวันนี้ให้ดีที่สุด

    แทนที่จะมองความทุกข์ของเรา ไปมองความทุกข์คนข้างนอกดีกว่ามั้ง มันจะได้ลืมทุกข์ของตัวเอง

  • สำรวจตัวเอง รู้กายรู้ใจเรา จิตเราเป็นกุศลหรืออกุศล อ่อนโยนนุ่มนวลมั้ย ถ้าเราเฝ้าสังเกตของเรา เราจะเห็นความเปลี่ยนแปลง เดี๋ยวดี เดี๋ยวไม่ดี อยู่เรื่อยนะ มันไม่เที่ยง ก็คือบุคคลที่ยังฝึกอยู่ แต่ถ้าเราไม่ฝึก เราก็ต้องเวียนว่ายตายเกิด ทุกข์ไม่มีวันสิ้นสุด จำเป็นต้องฝึกแล้วก็ฝึกบ่อยๆ ฝึกจนเป็นนิสัย รู้ เข้าใจ เมตตา ปล่อยวาง ท่องไว้ รู้ทันของเรา เข้าใจบุคคล เข้าใจตัวเรา แล้วก็เมตตา แล้วก็ปล่อยวาง จิตมันก็ สบาย คือผลของมัน แต่ถ้าเราไม่ฝึกนะ มันก็มืดไปเรื่อย อกุศลไปเรื่อย สัตว์โลกก็ย่อมเป็นไปตามกรรม แต่ถ้าเราเป็นคนที่ฝืนใจ หักดิบมาเรื่อย มันก็ง่าย เหมือนเราไม่ยอมแพ้มาโดยตลอด จิตก็จะเข้มแข็ง ทรหดอดทน ทนได้ เราก็สบาย คนมีสติปัญญาดีพอแล้วเค้าไม่สร้างบาปแล้วล่ะ ไม่ก่อบาปสร้างเวรโดยเฉพาะมโนกรรม คิดไม่ดี ส่วนใหญ่จะพลาดปล่อยจิต มโนกรรมบ่อยๆ วจีกรรมปากไม่ดีตาม วจีกรรม กายกรรมตามมาอีก ถ้าเราฝึกของเรา ไม่ว่าจะมายังไง เราก็รับได้หมด สติปัฏฐาน4 ทางสายเอก มันง่วงมา เราก็รู้ว่าเออเราง่วง เราก็พยายามหาวิธีไม่ง่วง มันก็ต้องเจอซักทาง แต่ถ้าเราปล่อยมันไปเรื่อย ยินดีเพลิดเพลินไป เรียกว่านันทิ เพลิดเพลินไปในความง่วง ความเผลอ ก็เรียบร้อย

    เราก็รู้ทันของเรา ภายนอก ผัสสะภายนอก ตาเห็น หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รู้รส กายสัมผัส ภายในคิดนึกอารมณ์อะไรเกิด เราก็มีหน้าที่ทำงานแค่นี้ เมื่อก่อนเราเรียนหนังสือ เรียนเรื่องภายนอกเยอะแยะ ตอนนี้เราก็มาเรียนเรื่องตัวเรา ฝึกฝนตัวเรา ตาเห็นรูป ปรุงแต่งมั้ย หูได้ยินเสียง ปรุงแต่งมั้ย จมูกได้กลิ่น ปรุงแต่งมั้ย ลิ้นได้รับรสอาหาร ปรุงแต่งมั้ย อร่อยไม่อร่อย ชอบไม่ชอบ จิตมันเป็นกลางๆ มั้ย อย่างกลิ่นเนี่ย เหม็น..เราก็ไม่ชอบบางคน เหม็นก็ทนได้ หอมก็อย่าไปหลงมัน หลายคนที่ทุกข์อยู่เพราะมันสงบไม่ได้ โดยเฉพาะเรื่องความอยาก อยากโน่นอยากนี่ พอไม่ได้ดั่งอยากก็ทุกข์ อยากของมนุษย์ ทุกข์มั้ย ระงับความอยากไม่ดีเหรอ